เพื่อแม้ว-ปชป.พันธมิตรจำเป็น 2คู่ปรับที่หันมาจับมือต้านนายกฯคนนอก

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/233451

วันเสาร์ ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2559, 02.00 น.

สองพรรคใหญ่คือพรรคเพื่อแม้วกับพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งปกติเป็นพรรคคู่ปรับที่มีจุดยืนอุดมการณ์ทางการเมืองต่างกันอย่างสิ้นเชิงชนิดไม่เผาผีและเป็นคู่แข่งตลอดกาล แต่ด้วยสถานการณ์บังคับจากการที่ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และคำถามพ่วงผ่านการทำประชามติจากมหาชนเสียงส่วนใหญ่อันเป็นการเปิดทางและสร้างความชอบธรรมให้กับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่จะต่ออายุอำนาจเพื่อสานภารกิจปฏิรูปประเทศให้สำเร็จในฐานะนายกฯคนนอกหลังการเลือกตั้งทั่วไปครั้งหน้า ทำให้สองพรรคใหญ่คู่ปรับต้องกลายมาเป็นพันธมิตรจำเป็นในการจับมือกันต่อต้านนายกฯคนนอก

ทั้งนี้โดยธาตุแท้และอุดมการณ์ทางการเมืองของพรรคเพื่อแม้วซึ่งเป็นธุรกิจการเมืองทุนสามานย์ในคราบประชาธิปไตยจอมปลอม และถูกตั้งข้อสังเกตว่าเป็นบริษัทการเมืองจำกัดที่การบริหารพรรคขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของนายทุนเจ้าของบริษัทการเมืองจำกัดเพียงคนเดียวนั่นคือ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯนักโทษหนีคุก โดยที่บรรดา สส.พรรคเพื่อแม้ว มีสถานะเป็นเพียงพนักงานบริษัทที่รับท่อน้ำเลี้ยงและฟังคำสั่งจากนายใหญ่มากกว่าจะทำหน้าที่ผู้แทนปวงชนอย่างแท้จริง

ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ซึ่งเป็นพรรคการเมืองที่เก่าที่สุดของประเทศมีอุดมการณ์ทางการเมืองอันเป็นหัวใจของพรรคที่ยึดถือมาตลอด 70 ปี ก็คือเชิดชูประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการและต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น ดังนั้นตลอดช่วงที่ผ่านมา นอกจากเป็นคู่แข่งทางการเมืองแล้ว พรรคประชาธิปัตย์ยามเป็นฝ่ายค้านได้แสดงบทบาทเปิดโปงการทุจริตของพรรคเพื่อแม้วอย่างดุเดือดเข้มข้นโดยเฉพาะโครงการรับจำนำข้าว หรือแม้แต่การร่วมกับมวลมหาประชาชน กปปส.เพื่อต่อต้านรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีหุ่นเชิด ที่ใช้เผด็จการเสียงข้างมากในคราบประชาธิปไตยจอมปลอมที่ใช้วิธีการฉ้อฉลหักดิบผลักดันร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับสุดซอยที่มีเป้าหมายแอบแฝงมุ่งลบล้างโทษความผิดคดีทุจริตให้กับ นายทักษิณ จนกลายเป็นวิกฤตการณ์ทางการเมืองที่มีมวลมหาประชาชนออกแสดงพลังครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์เกือบ 10 ล้านคน

ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์เองในยุครัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็เคยถูกขบวนการระบอบแม้วอันประกอบด้วยกลุ่มคนเสื้อแดงและกองกำลังก่อการร้ายใต้ดินสร้างสถานการณ์ความรุนแรงเพื่อโค่นล้มรัฐบาลอภิสิทธิ์หวังช่วงชิงอำนาจรัฐ ทั้งการก่อจลาจลทั่วกทม.และบุกล้มการประชุมสุดยอดผู้นำชาติอาเซียนและชาติมหาอำนาจคู่เจรจาที่พัทยา เมื่อปี 2552 ตามด้วยการลอบก่อวินาศกรรมและก่อการร้ายเผาบ้านทำลายเมืองในปี 2553

แม้ก่อนหน้านี้พรรคเพื่อแม้วจะพยายามเดินเกมหวังอาศัยพรรคการเมืองต่างๆ รวมทั้งพรรคประชาธิปัตย์เป็นเครื่องมือในการต่อกรกับคสช. โดย คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ซึ่งมีข่าวว่า นายทักษิณ วางตัวให้เป็นทายาทผู้นำพรรคเพื่อแม้วคนต่อไปจะพยายามเสนอแนวคิดนัดหารือกับแกนนำพรรคต่างๆอ้างว่าเพื่อหาทางออกให้ประเทศ โดยมีแกนนำพรรคประชาธิปัตย์บางคนมีท่าทีคล้อยตามโดยเฉพาะ นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรค แต่ในที่สุด นายนิพิฏฐ์ ก็ถูก นายอภิสิทธิ์ เบรก สะท้อนให้เห็นว่าแกนนำพรรคประชาธิปัตย์ส่วนใหญ่รู้ทันเกมและไม่คิดจะจับมือกับพรรคเพื่อแม้ว

สำหรับพรรคเพื่อแม้วทำตัวเป็นศัตรูกับกองทัพมาตลอดเพราะกองทัพคือปราการสำคัญด่านสุดท้ายของชาติที่สามารถยับยั้งทำลายแผนการใหญ่ที่คิดผูกขาดอำนาจยึดครองประเทศอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดของขบวนการระบอบแม้ว อีกทั้งรัฐบาลระบอบแม้วก็ถูกกองทัพยึดอำนาจถึงสองครั้ง จึงเป็นแค้นฝังลึก และที่สำคัญในขณะนี้ก็คือการที่คสช.กำลังเดินหน้าปฏิรูปประเทศเพื่อขจัดธุรกิจการเมืองทุนสามานย์ในคราบประชาธิปไตยจอมปลอมอันชั่วร้ายซึ่งเป็นต้นเหตุของวิกฤติชาติอันจะส่งผลต่อความเสื่อมสลายของขบวนการระบอบแม้วในอนาคต

ด้วยเหตุนี้ไม่น่าแปลกใจที่ขบวนการเพื่อแม้วออกมาต่อต้านบ่อนทำลายคสช.อย่างหนักนับตั้งแต่การยึดอำนาจเมื่อวันที่ 22 พ.ค.2557 รวมทั้งการที่บรรดาแกนนำทั้งพรรคเพื่อแม้วและกลุ่มคนเสื้อแดง นำโดย นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานคนเสื้อแดง ดาหน้าออกมาต่อต้าน พล.อ.ประยุทธ์ ที่มีแนวโน้มจะก้าวขึ้นเป็นนายกฯคนนอกหลังการเลือกตั้งทั่วไปครั้งหน้าแบบสุดฤทธิ์

โดย นายจตุพร ถึงกับใช้วาทกรรมดักคอทำลายภาพพจน์ พล.อ.ประยุทธ์ ว่าจะลงจากอำนาจแบบไม่สวยในฐานะเผด็จการทรราชสืบทอดอำนาจ ขณะที่ นพ.เหวง โตจิราการ อดีตสส.พรรคเพื่อแม้ว และแกนนำคนเสื้อแดง ขู่ว่าปมนายกฯคนนอกอาจเป็นชนวนนำไปสู่เหตุการณ์พฤษภาทมิฬภาคสอง

แม้ภาพภายนอกพรรคเพื่อแม้วและพรรคประชาธิปัตย์เหมือนจะจับมือเป็นพันธมิตรกันเพื่อต้านนายกฯคนนอก แต่เชื่อว่าเมื่อถึงสถานการณ์สำคัญที่ต้องตัดสินใจ โดยเฉพาะการจัดตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นสองพรรคใหญ่อาจต้องเดินคนละเส้นทาง

เพราะพรรคประชาธิปัตย์แม้จะยึดมั่นในอุดมการณ์ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย แต่ก็พร้อมจะยืดหยุ่นตามสถานการณ์เพื่อชาติบ้านเมือง และที่สำคัญส่วนลึกของพรรคประชาธิปัตย์ คงไม่สามารถทำลายอุดมการณ์จุดยืนทางการเมืองของตัวเองด้วยการจูบปากกับพรรคธุรกิจการเมืองทุนสามานย์เผด็จการเสียงข้างมากในคราบประชาธิปไตยจอมปลอมอันชั่วร้ายที่เต็มไปด้วยการทุจริตคอร์รัปชั่นฉ้อฉลและส่อพฤติการณ์ที่เป็นภัยต่อระบอบการปกครองของประเทศ

Leave a comment