ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า
http://www.naewna.com/creative/245392
วันเสาร์ ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559, 02.00 น.
หลังจากที่ศาลเพิกถอนการปล่อยตัวชั่วคราวจนนายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานกลุ่มคนเสื้อแดงผู้ต้องหาคดีก่อการร้ายเผาบ้านทำลายเมืองเมื่อปี 2553 ต้องกลับไปนอนในคุกอีกรอบมานานกว่า 1 เดือน ซึ่งล่าสุดนายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความของนายจตุพรได้ยื่นคำร้องยกสารพัดข้ออ้างขอให้ศาลเมตตามีคำสั่งปล่อยตัวนายจตุพรเป็นครั้งที่ 3 หลังจากที่ล้มเหลวมาแล้ว 2 ครั้ง แต่ในที่สุดนายจตุพรก็วืดได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวเป็นครั้งที่ 3
ก่อนหน้านี้ทนายความของ นายจตุพร ยกสารพัดข้ออ้างทั้งเรื่องปัญหาสุขภาพรวมทั้งการสำนึกผิดของ นายจตุพร โดยรับปากว่าหากได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวจะไม่ทำผิดเงื่อนไขของศาลด้วยการเคลื่อนไหวป่วนเมืองอีก และในการยื่นคำร้องครั้งที่ 2 ทนายความ นายจตุพร ถึงขนาดนำหลักฐานการรับรองความประพฤติของ นายจตุพร ที่ลงนามโดย พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ หรือ “จิ๋วหวานเจี๊ยบ” อดีตนายกฯวิกฤติต้มยำกุ้ง ที่ครั้งหนึ่งเคยร่วมอยู่กับขบวนการระบอบทักษิณและเคยขึ้นเวทีกลุ่มคนเสื้อแดงช่วงที่ออกมาเคลื่อนไหวรุนแรง โดย “บิ๊กจิ๋ว” ยกข้ออ้างตอนหนึ่งการันตี นายจตุพร ว่า “นายจตุพรเคยเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของข้าพเจ้า เป็นผู้มีความรักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ มีอุดมการณ์ยึดมั่นในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ไม่เป็นผู้มีความประพฤติชั่วร้าย ไม่มีนิสัยในทางนักเลงอันธพาล มีความเคารพนอบน้อมต่อกระบวนการยุติธรรมมาตลอด ไม่เคยหลบหนีคดีอาญาใดๆ และจะสอดส่องดูแลไม่ให้กระทำการใดอันจะเป็นการผิดเงื่อนไขการปล่อยตัวชั่วคราวของศาลอย่างเคร่งครัด”
อนึ่งสภาพการณ์ที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ พี่น้องประชาชนไทยทั้งมวลตระหนักดีว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศทรงมีพระราชประสงค์และทรงปฏิบัติมาตลอดถึงการสร้างความรัก ความสามัคคีที่จะให้เกิดขึ้นในมวลหมู่ประชาชนชาวไทย ณ บัดนี้เป็นโอกาสอันประเสริฐยิ่งที่จะได้ปฏิบัติตามพระราชปณิธานตามแนวทางที่พระองค์ท่านได้มอบไว้กับชาวไทยทั้งผอง เพื่อสร้างความรัก ความสมานฉันท์ ให้เกิดขึ้นตามพระราชประสงค์ นายจตุพรจะน้อมนำกระแสพระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศเรื่องความรู้รักสามัคคีของคนในชาติมาเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต และปฏิบัติภารกิจทางการเมืองอย่างเคร่งครัด และยินดีให้ความร่วมมือกับทุกภาคส่วน สร้างความสามัคคีปรองดอง สลายความขัดแย้งในสังคมให้สำเร็จลุล่วง”
ถ้าจะว่าไปแล้วต้นทุนความน่าเชื่อถือและปูมหลังของ “บิ๊กจิ๋ว” กับ นายจตุพร ก็ไม่ได้ต่างกันมากนัก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่สังคมตั้งข้อสงสัยกรณีขบวนการแดงคิดล้มเจ้าแนวคิดเรื่องสภาเปรสซิเดี้ยม หรือคำพูด “กระสุนพระราชทาน” และข้ออ้างทั้งหมดตามคำร้องของ “บิ๊กจิ๋ว” หากพิเคราะห์รายละเอียดแต่ละประโยคถูกตั้งข้อสังเกตว่าตรงกันข้ามกับพฤติกรรมของ นายจตุพร ตลอดช่วงที่ผ่านมาแทบจะสิ้นเชิง
มาล่าสุดการยื่นคำร้องต่อศาลของทนาย นายจตุพรอ้างเหตุผลว่า “พฤติการณ์กับสถานการณ์บ้านเมืองก่อนและหลังศาลเพิกถอนสัญญาประกันมีสถานการณ์บ้านเมืองเปลี่ยนไป ซึ่งเมื่อวันที่ 13 ต.ค. 2559 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จสวรรคตนำมาซึ่งความเศร้าโศกเสียใจต่อพสกนิกรชาวไทยและชาวต่างชาติ รัฐบาลได้ประกาศไว้ทุกข์เพื่อแสดงความไว้อาลัย จำเลยมีความตั้งมั่นที่จะขอโอกาสในวาระเช่นนี้ไปแสดงความไว้อาลัยและเข้าถวายสักการะพระบรมศพอย่างที่พสกนิกรทุกคนควรจะทำ ประกอบกับประเทศไทยอยู่ในช่วงแห่งความอาลัย ประชาชนทุกหมู่เหล่าต่างตระหนักในการสร้างความรักสามัคคีปรองดองให้เกิดขึ้น ไม่มีความเคลื่อนไหวทางการเมืองของกลุ่มใด และเชื่อว่าไม่มีประชาชนคนใดจะสร้างความวุ่นวายให้เกิดขึ้นในบ้านเมือง………..จำเลยรู้สำนึกในการกระทำฝ่าฝืนคำสั่งศาลแล้ว จึงขอโอกาสในการได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวอีกสักครั้งหนึ่งด้วย” ซึ่งศาลได้พิจารณาคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวเป็นครั้งที่ 3 แล้วเห็นว่า ในชั้นนี้ยังไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม
ข้อสังเกตก็คือก่อนหน้าที่จะเข้าคุก นายจตุพรแสดงท่าทีขึงขังประกาศไม่หวั่นไหวที่ต้องติดคุกพร้อมทั้งประกาศในทำนองปลุกระดมให้คนเสื้อแดงสู้ต่อไปโดยอ้างประชาธิปไตยบังหน้า แต่มาวันนี้นายจตุพรกลับยอมสำนึกผิดรวมทั้งอ้างการขอโอกาสเข้าถวายสักการะพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ เพื่อร้องขอเมตตาให้ศาลปล่อยตัวชั่วคราวอันส่อให้เห็นธาตุแท้ว่า นายจตุพรคงผวาที่อาจต้องติดคุกยาว จึงพร้อมทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้รับอิสรภาพกลับมาใช้ชีวิตเสพสุขแม้อาจถูกมองว่าพลิกลิ้นกลืนน้ำลายตัวเองและเปลี่ยนจุดยืนจากหน้ามือเป็นหลังเท้าก็ตาม
ทีมข่าวการเมือง
