ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า
http://www.naewna.com/creative/244315
วันเสาร์ ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559, 02.00 น.
หลังประกาศผลศึกชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีเมืองลุงแซมไปแล้วหลายวัน แต่จนบัดนี้กระแสต่อต้านมหาเศรษฐีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้มีแนวคิดแบบสุดโต่งของบรรดามะกันชนกลับลุกลามบานปลายโดยมีการชุมนุมแสดงพลังแห่งความเกรี้ยวกราดไม่พอใจผลเลือกตั้งถึงขั้นเผาธงชาติสหรัฐฯและเผาหุ่น “ทรัมป์” โดยสถานการณ์ระบาดไปแล้วถึง 25 เมืองทั่วประเทศ ขณะที่มะกันชนจำนวนไม่น้อยประกาศจะขออพยพย้ายไปอยู่ประเทศอื่นอย่างแคนาดา หรือออสเตรเลีย
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นสะท้อนให้เห็นถึงความแตกแยกภายในชาติของเมืองลุงแซมที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์นับตั้งแต่มีการเลือกตั้งประธานาธิบดีมา ขณะเดียวกันก็เป็นกระจกสะท้อนให้เห็นถึงประชาธิปไตยที่บิดเบี้ยวของมหาอำนาจมะกันอันตรายที่ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในต้นแบบของประชาธิปไตยของโลก โดยในความเป็นจริงศึกชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีครั้งนี้สกปรกน้ำเน่าตั้งแต่ช่วงการรณรงค์หาเสียง หรือแม้กระทั่งหลังการเลือกตั้งซึ่งเป็นครั้งแรกที่มหาชนที่สนับสนุนผู้สมัครชิงตำแหน่งผู้นำหมายเลข 1 ของฝ่ายหนึ่งจะออกมาเคลื่อนไหวไม่ยอมรับผลการเลือกตั้งซึ่งเป็นเรื่องอันตรายมากต่ออนาคตประชาธิปไตยของเมืองลุงแซม
อีกประเด็นหนึ่งหลังจากที่โลกช็อกกับผลการเลือกตั้งเมื่อ “ทรัมป์” ชนะขึ้นเป็นผู้นำหมายเลข 1 ของมหาอำนาจเมืองลุงแซมอย่างพลิกล็อกชนิดทำเอาโพลล์ทุกสำนักที่เคยทำนายว่า ฮิลลารี คลินตัน จากพรรคเดโมแครต จะชนะแบบนอนมาขึ้นเป็นผู้นำสตรีหมายเลข 1 คนแรกของในประวัติศาสตร์เมืองลุงแซมต้องหน้าแตกยับเยินตามกัน และนอกจากช็อกต่อผลการเลือกตั้งแล้วทั่วโลกต่างหวาดผวาต่อท่าทีและนโยบายอันสุดโต่งของ “ทรัมป์” ท่ามกลางอนาคตของโลกที่ระส่ำระสายไม่แน่นอนเพราะไม่รู้ว่า “ทรัมป์” จะแสดงความบ้าระห่ำอะไรออกมาบ้าง
สำหรับรัฐบาลไทยภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ประกาศจุดยืนเดินสายกลางแบบไทยๆ โดยย้ำว่าไม่ว่าใครจะมาเป็นผู้นำของมะกันอันตรายไทยก็จะยังคงมีนโยบายเป็นมิตรรักษาความสัมพันธ์กับมะกันอันตราย ซึ่งมีประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์อันแนบแน่น กับไทยมาช้านานไม่เปลี่ยนแปลง
ขณะเดียวกันเพื่อความไม่ประมาทพล.อ.ประยุทธ์ ได้เรียกประชุมเอกอัครราชทูตไทยและกงสุลไทยทั่วโลกประชุมหารือเพื่อเตรียมรับมือกับสถานการณ์โลกที่อาจเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่หลังการเปลี่ยนผ่านทางอำนาจของผู้นำเมืองลุงแซม
ในท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของการเมืองโลกจากการที่ “ทรัมป์” ขึ้นเป็นผู้นำคนใหม่ของมหาอำนาจมะกันอันตราย ปรากฏว่าขบวนการเพื่อแม้วฉวยโอกาสดราม่าสร้างภาพโดย นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯนักโทษหนีคุกคดีทุจริตตามคำพิพากษาศาล และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ชินวัตร อดีตนายกฯหุ่นเชิด ผู้เป็นน้องสาวซึ่งเป็นจำเลยคนสำคัญคดีโครงการรับจำนำข้าวสร้างความเสียหายแก่ประเทศครั้งเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ รวมทั้งพรรคเพื่อไทยได้ส่งสารแสดงความยินดีไปถึง “ทรัมป์” ที่ชนะการเลือกตั้งได้ขึ้นเป็นผู้นำหมายเลข 1 ของมหาอำนาจมะกันอันตราย
สารแสดงความยินดีของนักโทษชายแม้วและจำเลยปู มีใจความตอนหนึ่งว่า “ความสัมพันธ์ฉันมิตรระหว่างไทยจะแนบแน่นลึกซึ้งยิ่งกว่าเดิม พวกเราในประเทศไทยเฝ้ารออย่างใจจดใจจ่อที่จะได้ร่วมงานกับรัฐบาลของท่านอย่างใกล้ชิดในช่วงเวลาไม่กี่ปีข้างหน้า”
จากการส่งสารถึง “ทรัมป์” ของ นักโทษชายแม้วและ จำเลยปู ถูกต้องข้อสังเกตว่าด้านหนึ่งเป็นการตีกินเสนอตัวเชลียร์ผู้นำคนใหม่ของมหาอำนาจมะกันอันตรายเพื่อเป็นเกราะป้องกันตัวเอง เพราะเกรงนโยบายอันสุดโต่งของ “ทรัมป์” ที่อาจเลิกให้ท้ายขบวนการเพื่อแม้ว รวมทั้งไม่ให้ นักโทษชายแม้ว เข้าเมืองลุงแซมอีกต่อไปในฐานะผู้ร้ายข้ามแดน ที่ทางการไทยต้องการตัว รวมไปถึงบรรดาเหล่าขบวนการแดงคิดล้มเจ้าที่ถูกออกหมายจับทั้งหลายซึ่งหลายคนกบดานอยู่ในเมืองลุงแซมอาจถูกเฉดหัวหรือส่งตัวกลับมาดำเนินคดีในไทย
นอกจากนี้อีกด้านหนึ่งสะท้อนให้เห็นถึงดราม่าสร้างภาพที่ระบอบแม้วถนัดหวังชิงพื้นที่ข่าว โดยเฉพาะ นักโทษชายแม้ว และ จำเลยปู พยายามสร้างภาพความเป็นผู้นำโดยอาศัย “ทรัมป์” เป็นเครื่องมือ ถึงขนาดสร้างภาพว่าจะได้ร่วมงานกับ“ทรัมป์” ในช่วงเวลาไม่กี่ปีข้างหน้า
ทั้งๆ ที่เมื่อถึงตอนนั้นไม่รู้ว่า นักโทษชายแม้วยังมีชีวิตอยู่และจำเลยปูชดใช้กรรมเข้าไปอยู่ในคุกจากพิษคดีจำนำข้าวแล้วหรือไม่
