ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า
http://www.naewna.com/creative/245485
วันอาทิตย์ ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559, 02.00 น.
การขึ้นเป็นผู้นำหมายเลข 1 ของมหาอำนาจสหรัฐฯของ มหาเศรษฐีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่มีแนวคิดแบบสุดโต่งได้สร้างความหวาดผวาต่อโลก และถูกจับตาว่าจะส่งผลกระทบต่อประเทศไทยหรือไม่ทั้งทางด้านการเมืองและด้านเศรษฐกิจ
หากจะวิเคราะห์นโยบาย “America First” หรือ “อเมริกาต้องมาก่อน” ของ “ทรัมป์” อาจมองได้ทั้งในด้านบวกและด้านลบ โดยด้านบวกมหาอำนาจสหรัฐฯยุคใหม่ภายใต้การนำของ “ทรัมป์” อาจลดความสำคัญทางด้านการทหารและการขยายอิทธิพลของสหรัฐฯในภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลกลง และคงไม่ให้ความสำคัญการใช้ข้ออ้างทางการเมืองต่างๆ เช่น เรื่องประชาธิปไตยหรือเรื่องสิทธิมนุษยชนมาเป็นเครื่องมือในการกดดันแทรกแซงประเทศอื่นเหมือนยุคที่ผ่านมา โดยเชื่อว่า “ทรัมป์” คงเปลี่ยนแปลงนโยบายหันไปแก้ปัญหาเศรษฐกิจปากท้อง การว่างของคนอเมริกันเป็นสำคัญ มากกว่าการทำตัวเป็นจอมอันธพาลโลกของสหรัฐฯ เช่น ยุคประธานาธิบดีโอบามาจากพรรคเดโมแครต ซึ่งการมุ่งขยายอิทธิพลของสหรัฐฯนอกจากสิ้นเปลืองงบประมาณมหาศาลแล้ว ยังทำให้สหรัฐฯต้องจมปลักอยู่ในสงครามในหลายประเทศโดยไม่จำเป็นซึ่งเป็นผลเสียทั้งต่อภาพลักษณ์และภาระทางการคลังมหาศาล
แต่ปัญหาที่น่ากังวลและต้องจับตาก็คือนโยบายด้านเศรษฐกิจภายใต้ “America First” ของ “ทรัมป์” ที่มีแนวคิดดึงนักลงทุนสหรัฐฯกลับบ้านเพื่อพัฒนาประเทศตัวเอง รวมทั้งนโยบายกีดกันทางการค้าด้วยการตั้งกำแพงภาษีสินค้านำเข้าในอัตราสูงที่อาจจะกระทบต่อการส่งออกของไทยทั้งทางตรงและทางอ้อม ซึ่งที่ต้องจับตาคือ “ทรัมป์” มีท่าทีแข็งกร้าวขู่จะเล่นงานจีนทางเศรษฐกิจด้วยมาตรการตั้งกำแพงภาษีถึง 40% สำหรับสินค้าและการลงทุนของจีนในสหรัฐฯ ซึ่งหากเศรษฐกิจจีนสะเทือนย่อมส่งผลกระทบทางอ้อมต่อไทยที่มีการค้าขายกับจีนเป็นมูลค่ามหาศาลด้วย
รศ.ดร.ปณิธาน วัฒนายากร ที่ปรึกษารองนายกฯฝ่ายความมั่นคง มองว่าภาพรวมผลกระทบจากการมีรัฐบาลสหรัฐฯยุคทรัมป์นั้นมีทั้งด้านบวกและลบ สำหรับไทยนั้นด้วยความเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่มีความสำคัญต่อสหรัฐฯทำให้เชื่อว่าถึงอย่างไรสหรัฐฯจะยังคงรักษาความสัมพันธ์อันดีกับไทยซึ่งถือเป็นโอกาสดีของรัฐบาลไทยเช่นกันที่จะสร้างความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศให้แน่นแฟ้นมากขึ้น
ขณะที่ รศ.ดร.อรรถกฤต ปัจฉิมนนท์ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มองว่า ผู้นำสหรัฐฯคนใหม่คงให้ความสำคัญในเรื่องเศรษฐกิจมากกว่าด้านการทหารและการเมือง ดังนั้นน่าจะเป็นผลบวกกับไทยเพราะรัฐบาลสหรัฐฯชุดใหม่คงไม่ใช้การเมืองมาเป็นเครื่องมือกดดันไทยเหมือนที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ต้องดูท่าทีและนโยบายที่ชัดเจนของ “ทรัมป์” ต่อไป
ต่อท่าทีของรัฐบาลไทยนั้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ย้ำชัดเจนว่า ไม่ว่าผู้นำสหรัฐฯคนใหม่จะเป็นใคร ไทยก็ยังมีจุดยืนไม่เปลี่ยนแปลงนั่นคือพร้อมที่จะเป็นมิตรรักษาความสัมพันธ์อันดีกับรัฐบาลสหรัฐฯที่เป็นพันธมิตรที่แน่นแฟ้นกับไทยมานานถึง 183 ปี
สำหรับข้อวิตกในเรื่องที่ “ทรัมป์” มีนโยบายให้นักลงทุนสหรัฐฯถอนตัวกลับไปพัฒนาประเทศรวมทั้งการกีดกันทางการค้าที่อาจส่งผลกระทบถึงไทยนั้น ยังไม่ควรตีตนไปก่อนไข้ แต่ก็ควรเตรียมพร้อมรับมือซึ่งล่าสุด พล.อ.ประยุทธ์ ได้เรียกประชุมเอกอัครราชทูตและกงสุลไทยทั่วโลกเพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่อาจเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่จากการเปลี่ยนผู้นำสหรัฐฯ
ขณะที่นักสังเกตการณ์ทางการเมืองเห็นว่า ไทยควรแปรวิกฤติให้เป็นโอกาสโดยยึดแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระราชดำริมาปรับใช้โดยเฉพาะในเรื่องการสร้างภูมิคุ้มกันซึ่งจะทำให้ไทยอยู่รอดได้ไม่ว่าสถานการณ์เศรษฐกิจโลกจะแปรปรวนเพียงใดก็ตาม
การสร้างภูมิคุ้มกันเศรษฐกิจของประเทศอย่างยั่งยืนในระยะยาวก็คือมุ่งสร้างเศรษฐกิจภายในประเทศให้เข้มแข็งกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยของคนภายในประเทศเพื่อให้เกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจมากขึ้น ขณะเดียวกันก็ต้องสร้างภูมิคุ้มกันในระดับภูมิภาคนั่นคือการหันมาร่วมมือและค้าขายกันให้มากขึ้นระหว่างชาติอาเซียนแทนที่จะพึ่งการส่งออกไปยังชาติมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯจนมากเกินไป
ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ อดีตเลขาธิการอาเซียน เสนอว่า ทางรอดเดียวสำหรับไทย ก็คือต้องเร่งสร้างประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนให้สำเร็จเป็นจริง พร้อมกับพัฒนาคุณภาพของสินค้าส่งออกของไทยให้ติดตลาด ตลอดจนต้องหันไปพึ่งพาจีนให้มากขึ้น
เพราะฉะนั้นคงต้องจับตาดูนโยบายที่ชัดเจนของผู้นำคนใหม่ของสหรัฐฯ ซึ่งสำหรับไทยคงไม่ต้องถึงกับตื่นตูม แต่ก็ต้องตื่นตัวเตรียมพร้อมซึ่งการพึ่งตัวเองตามแนวเศรษฐกิจพอเพียงน่าจะเป็นภูมิคุ้มกันที่ทำให้ชาติอยู่รอดไม่ว่าโลกจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรก็ตาม
ทีมข่าวกานเมือง
