จับตาขบวนการอ้างเสรีภาพ ซ่อนเบื้องหลังสุมไฟทำลายชาติ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/249551

news_default

วันพุธ ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2559, 02.00 น.

ร่างพ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มีมติผ่านความเห็นชอบไปแล้วกำลังกลายเป็นชนวนระเบิดเวลาทางการเมืองลูกใหญ่สำหรับคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)และรัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคสช. เมื่อเครือข่ายพลเมืองชาวเน็ตและแนวร่วมอีกหลายกลุ่มประกาศสงครามครั้งใหญ่กับอำนาจรัฐรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆเพื่อต่อต้านร่างพ.ร.บ.คอมพ์ฉบับนี้

เครือข่ายพลเมืองชาวเน็ตเริ่มเปิดศึกยกแรกด้วยการแฮกเจาะข้อมูลเว็บไซต์ของทำเนียบรัฐบาล สำนักนายกรัฐมนตรี สภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.) และเว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาจนล่มไม่เป็นท่า และยังป่วนด้วยการแฮกข้อมูลกระทรวงกลาโหม และอีกหลายกระทรวง เพื่อเป็นสัญญาณเตือนให้รัฐบาลทบทวนกฎหมาย มิฉะนั้นจะยกระดับทำสงครามไซเบอร์ครั้งใหญ่ ซึ่งอาจทำให้ป่วนกันทั้งประเทศ

เครือข่ายพลเมืองชาวเน็ตต่อต้านซิงเกิลเกตเวย์ได้ออกแถลงการณ์ล่าสุดอย่างอหังการว่า “หากรัฐบาลยังไม่มีท่าทีผ่อนปรนที่จะชะลอกระบวนการและขั้นตอนกฎหมายดังกล่าวออกไป กลุ่มพลเมืองต่อต้านซิงเกิลเกตเวย์จะขอยกระดับโจมตีในไซเบอร์วอร์ตั้งแต่วันที่ 20 ธ.ค.นี้เป็นต้นไป ขอให้ทุกฝ่ายทราบและเตรียมการลดผลกระทบต่อการดำรงชีวิตและธุรกรรมต่างๆ ไว้ล่วงหน้า นี่คือสงครามไซเบอร์ จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการสูญเสีย เสียหาย”

ทั้งนี้เครือข่ายพลเมืองชาวเน็ตอ้างว่า พ.ร.บ.คอมพ์ฉบับนี้ปูทางไปสู่ระบบซิงเกิลเกตเวย์อันเป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพข้อมูลส่วนบุคคล

ขณะที่ พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกรัฐบาล กล่าวว่ารัฐบาลได้พยายามชี้แจงมาตลอดจนปากยานจะถึงเอวอยู่แล้วว่า กฎหมายฉบับนี้ไม่เกี่ยวข้องกับซิงเกิลเกตเวย์แต่อย่างใดทั้งสิ้น แต่เป็นการแก้ไขกฎหมายให้ทันสมัย สอดคล้องกับสถานการณ์ด้านเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว โดยสาระสำคัญของกฎหมายเพื่อเพิ่มฐานความผิดและบทลงโทษให้ครอบคลุมเรื่องต่างๆ เช่น การเจาะทำลายระบบความมั่นคงของประเทศ ความผิดฐานส่งสแปนหรือข้อความที่ผู้รับไม่ได้ร้องขอ การนำเข้าข้อมูลเท็จ การเผยแพร่เนื้อหาหรือภาพตัดต่อที่ผิดกฎหมาย การให้ผู้กระทำผิดรับโทษตามกฎหมายอาญาอื่นๆ ไม่แต่เฉพาะพ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์อันจะช่วยคุ้มครองและสร้างความเป็นธรรมแก่ผู้ใช้คอมพิวเตอร์ รวมทั้งรองรับการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศ ไม่ใช่การคุกคามสิทธิส่วนบุคคลอย่างที่มีการกล่าวอ้างและสร้างกระแสบิดเบือนให้เกิดความระส่ำระสายในบ้านเมือง

ด้าน นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสนช. กล่าวว่า คงไม่สามารถทบทวนกฎหมายที่สนช.ผ่านความเห็นชอบไปแล้วได้ และพยายามชี้แจงว่า ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้แก้ไข พ.ร.บ.คอมพ์ปี 2550 ซึ่งถือว่าดีกว่าเดิมเพราะมีการลดอำนาจของเจ้าพนักงานลง แม้แต่รัฐมนตรีก็ไม่มีอำนาจสั่งลงโทษ โดยจะมีคณะกรรมการกลั่นกรองซึ่งมีตัวแทนภาคประชาชนร่วมเป็นกรรมการด้วย ทั้งนี้การตัดสินถูกผิดต้องไปสิ้นสุดที่ศาล

ประธานสนช.ยังชี้ว่า พ.ร.บ.คอมพ์ในหลายประเทศล้าหลังกว่าไทยด้วยซ้ำ โดยไม่มีการให้ศาลเป็นผู้ตัดสิน

ส่วน พล.ต.ฤทธี อินทราวุธ ผู้อำนวยการศูนย์ไซเบอร์ กองทัพบก กล่าวถึงสถานการณ์การโจมตีเว็บไซต์และเจาะระบบข้อมูลหน่วยงานด้านความมั่นคงของรัฐมีความผิดปกติอย่างมากเพราะมีความเคลื่อนไหวของกลุ่มแฮกเกอร์ต่างชาติเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย

ทั้งนี้กลุ่มแฮกเกอร์ต่างชาติที่เคยสร้างความปั่นป่วนในหลายประเทศร่วมผสมโรงกับเครือข่ายพลเมืองชาวเน็ตเคลื่อนไหวบ่อนทำลายระบบอินเตอร์เนตหน่วยราชการของไทยครั้งนี้ด้วย

สถานการณ์สงครามไฟเบอร์ขณะนี้จะเป็นการพิสูจน์ศักยภาพหน่วยงานด้านไฟเบอร์และหน่วยงานด้านความมั่นคงว่า มีความพร้อมขนาดไหนในการรับมือสงครามไฟเบอร์ ซึ่งอาจจะรุนแรงเสียยิ่งกว่าการทำสงครามด้วยแสนยานุภาพทางอาวุธ เพราะเป็นสงครามที่มองไม่เห็นตัวตนของศัตรูและมีอานุภาพในการทำลายล้างที่รวดเร็วรุนแรงกว้างขวางอย่างไร้ขีดจำกัดและกว่าจะรู้ตัวสถานการณ์อาจลุกลามจนยากที่จะแก้ไข

สำหรับทางเลือกของคสช.และรัฐบาลเพื่อคลี่คลายสถานการณ์ที่เกิดขึ้นมีอยู่เพียง 2 ทางคือ ยอมอ่อนข้อประนีประนอมกับเครือข่ายพลเมืองชาวเน็ตเพื่อหลีกเลี่ยงสงครามไฟเบอร์ครั้งใหญ่ โดยยอมทบทวนกฎหมายบางประเด็นในขั้นตอนของการออกกฎหมายลูกที่จะตามมา หรือเผชิญหน้าต่อกรกับเครือข่ายพลเมืองชาวเน็ตด้วยการใช้มาตรการทางกฎหมายจัดการ

เท่าที่ดูท่าทีฝ่ายคสช.และรัฐบาลสะท้อนจากท่าทีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายพรเพชร วิชิตชลชัย หรือพล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(สตช.) ดูเหมือนจะเลือกแนวทางหลังนั่นคือไม่ยอมอ่อนข้อตามคำขาดของเครือข่าย
พลเมืองชาวเน็ต โดยหากฝ่ายทำสงครามไฟเบอร์ครั้งใหญ่ล้ำเส้นกฎหมายเมื่อไหร่ก็จะดำเนินคดีทันที

ที่ผ่านมาขบวนการป่วนเมืองอาศัยช่องโหว่ของกฎหมายและสื่อโซเชียลมีเดียปล่อยข่าวบิดเบือนบ่อนทำลายความมั่นคงของรัฐ โดยเฉพาะจาบจ้วงโจมตีสถาบันเบื้องสูงอย่างเหิมเกริม และยิ่งการที่เครือข่ายพลเมืองชาวเน็ตร่วมมือกับกลุ่มแฮกเกอร์ต่างชาติชักศึกเข้าบ้านโจมตีเว็บไซต์และเจาะข้อมูลของหน่วยราชการต่างๆ ส่อพฤติการณ์มีเบื้องหลังไม่ชอบมาพากล พร้อมทั้งประกาศจะทำสงครามไฟเบอร์ครั้งใหญ่ที่จะสร้างความระส่ำระสายไปทั่วประเทศอันเป็นการเข้าข่ายบ่อนทำลายความมั่นคงของชาติ จึงยิ่งเป็นการตอกย้ำความจำเป็นที่จะต้องมีกฎหมายควบคุมโลกไซเบอร์ไม่ให้มีการใช้เสรีภาพอย่างไร้ขอบเขตและความรับผิดชอบ และที่ต้องจับตาก็คือขบวนการที่เป็นศัตรูกับคสช.และรัฐบาลคงฉวยโอกาสอาศัยปัญหาสงครามไฟเบอร์ผสมโรงจุดชนวนให้บ้านเมืองลุกเป็นไฟ

ทีมข่าวการเมือง

Leave a comment