ประชาชนชี้ขาด : สองพรรคใหญ่จับมือตั้งรัฐบาลอนาคต

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ทีมข่าวการเมือง 10 ต.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/747976


การเลือกตั้งใหญ่ตามโรดแม็ปเป็นเรื่องอีกยาวไกล

แต่ขณะนี้กลับมีการพูดถึงสูตรการจัดตั้งรัฐบาลเอาไว้ล่วงหน้ากันแล้ว

การจัดตั้งรัฐบาลแต่ละสูตรขึ้นอยู่กับเงื่อนไขอะไรบ้าง ติดตามคำให้สัมภาษณ์ของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวผ่าน ทีมข่าวการเมือง

โดยเริ่มจากขอเสนอให้รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) แม้มีผลงานเรื่องการบังคับใช้กฎหมายเข้มงวด การสร้างความสงบให้สังคม

แต่อยากให้ทำงานในเรื่องยากเชิงโครงสร้างปฏิรูป ให้เป็นรูปธรรมสำเร็จสักเรื่องตามที่ประชาชนคาดหวัง

ควรตั้งหลักตั้งแต่จัดลำดับความสำคัญของปัญหา แล้วเลือกลงมือดำเนินการ เช่น การปฏิรูปการทุจริต สะสางให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ การปฏิรูปการศึกษา การปฏิรูปตำรวจ

โดยการปฏิรูปตำรวจ สมควรที่จะทำมากที่สุด

ขณะเดียวกัน ยังมีข้อเสนอต่อคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ถึงการยกร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายลูก โดยเฉพาะกฎหมายที่เกี่ยวกับการเลือกตั้ง

หัวใจต้องทำให้การเลือกตั้งสุจริตและเที่ยงธรรม ขจัดปัญหาการซื้อเสียง โกงการเลือกตั้ง ลดอิทธิพลของเงิน และประชาชนมีข้อมูลในการตัดสินใจมากที่สุด ถ้ากฎหมายเป็นไปในทิศทางนี้ย่อมเห็นดีและเอาด้วย

เช่น นโยบายพรรคการเมือง เคยเสนอให้พรรคการเมืองต้องเสนอนโยบายต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ให้ชัดเจนขึ้น เพื่อในอนาคตนโยบายของพรรคนั้นทำไม่ได้จริง ทำไปแล้วเกิดความเสียหาย จะได้มีฐานข้อมูลเอาไปเล่นงานพรรคนั้นตามกฎหมายต่อไป

กระบวนการดีเบตก็เช่นเดียวกัน เพื่อให้พรรคการเมืองต้องมาตอบคำถามประชาชน สื่อมวลชน สามารถวิพากษ์วิจารณ์ซึ่งกันและกันได้ มันเป็นหัวใจที่จะทำให้การเลือกตั้งเป็นเรื่องที่ประชาชนรู้ว่า ทางเลือกจริงๆคืออะไร

เฉกเช่นการดีเบตของผู้สมัครประธานาธิบดีของประเทศสหรัฐอเมริกา ระหว่างนายโดนัลด์ ทรัมป์ ตัวแทนพรรครีพับลิกัน กับนางฮิลลารี คลินตัน ตัวแทนจากพรรคเดโมแครต ที่มีคนนิยมน้อย

ถามว่าทำไมประชาชนสนใจดูการตีเบตมากที่สุดเป็นประวัติศาสตร์ เพราะประชาชนอยากดูว่าสุดท้ายแล้วเมื่อถูกซัก ถูกถามจี้ จะตอบคำถามได้หรือไม่ ทั้งคำถามจากสื่อมวลชนหรือฝ่ายตรงข้ามว่าคุณมีข้อมูลคำตอบให้สังคมหรือไม่ และยังเป็นสัญญาประชาคม แต่การปล่อยให้ต่างคนต่างพูดมันก็แค่โฆษณาชวนเชื่อ

ส่วนการออกแบบคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่ผ่านมา กฎหมาย กกต.มีทั้งจุดแข็งและจุดอ่อน แต่สิ่งที่ต้องยืนยันในหลักการและรัฐธรรมนูญได้ยืนยันในความเป็นองค์กรอิสระ มีอำนาจมากพอในการดูแลจัดการเลือกตั้ง ไม่ควรย้อนดึงอำนาจของ กกต.ออกไปสู่อดีตอีก

แต่สิ่งที่สำคัญ กกต.ไม่ควรเป็นองค์กรขนาดใหญ่ เพราะเทอะทะ ไม่คล่องตัว ควรออกแบบให้คนมาช่วยงาน ภายใต้การบังคับบัญชากำกับของ กกต.เฉพาะในช่วงที่มาช่วยงาน กกต.จริงๆ

เหมือน กกต.อินเดียที่ทำงานได้ผล โดยยืมคนมาจากองค์กรอื่นมาทำงานช่วยจัดการเลือกตั้ง

พอมาถึงกฎหมายพรรคการเมือง นายอภิสิทธิ์ ไม่อยากขอพูดถึง เพราะจะถูกมองว่าพูดเพื่อผลประโยชน์ของฝ่ายการเมือง แต่ยืนยันว่าพรรคประชาธิปัตย์จะเดินทางไปในทิศทางปฏิรูปการเมือง

พร้อมกล้ายืนยันว่าเราทำมากที่สุดที่ให้สมาชิกพรรคมีส่วนร่วมในเรื่องประชาธิปไตยในพรรค ไม่เช่นนั้นจะมีหัวหน้าพรรคที่หลากหลายได้อย่างไร ไม่ใช่เรื่องของทุนหรือเจ้าของพรรคหรือผู้มีอิทธิพลใดๆ

ฉะนั้นจะออกกติกาอย่างไรก็ว่ามา ที่สำคัญพอดูขั้นตอนการเสนอความเห็นเรื่องกฎหมายลูก ยังอีกยาว

ตอนนี้ขอไปทำหน้าที่ให้ดีที่สุด เอาเวลาไปคิดเรื่องการแก้ไขปัญหาของประเทศดีกว่ามาช่วยร่างกฎหมายพรรคการเมือง ในฐานะเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ต้องพยายามทำให้พรรคเป็นที่พึ่งและตอบโจทย์แก้ปัญหาประชาชนให้มากที่สุด หลังจาก คสช.จัดให้มีการเลือกตั้งแล้วใครจะนำพาประเทศไปในทิศทางที่ประชาชนอยากได้

ใครจะวิเคราะห์สูตรการจัดตั้งรัฐบาลอะไรไม่ขอเล่นด้วย ไม่ขออยู่ในเกมนี้ เพราะเมื่อถึงวันเลือกตั้งประชาชนอาจจะสนใจทิศทางของประเทศไปทางไหน มากกว่าใครจะขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีก็ได้

ฉะนั้นวันนี้จึงให้ความสำคัญสูงสุดกับของนโยบายพรรค เพราะประเทศมีโจทย์ ที่ท้าทายมาก

ทีมข่าวการเมือง ถามถึงแนวทางพรรคประชาธิปัตย์และพรรคเพื่อไทยจับมือจัดตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง นายอภิสิทธิ์บอกว่า ประเด็นไม่ได้อยู่ที่ใครจับมือกับใคร เท่ากับว่าจับมือเพื่ออะไรและจับมือกันไปทำอะไร

มุมหนึ่งอาจจะถูกมองว่านักการเมืองทุกพรรคมาเป็นรัฐบาลเพื่อสร้างความปรองดอง อีกมุมหนึ่งกลับมองว่านักการเมืองในที่สุดแล้วอะไรก็ได้ ขอให้ได้เป็นรัฐบาลมีอำนาจก่อน

สำหรับผมจุดยืนแต่ละเรื่องของพรรค ถ้าคิดเข้าไปเป็นรัฐบาลและมีอำนาจก่อน มันก็ไม่ยาก

แต่ในอดีตพรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยทำแบบนี้ ถ้าทำแบบนี้คงไม่มีพรรคมาจนถึงทุกวันนี้

ฉะนั้นจะต้องดูนโยบายทุกเรื่อง โดยเฉพาะความซื่อสัตย์สุจริตสำคัญที่สุด ถ้าพรรคเพื่อไทยยังคิดเรื่องนิรโทษกรรม ยังวางตัวเป็นเครื่องมือของคนในตระกูลใดหรือบุคคลใดบุคคลหนึ่ง มันก็จับมือกันไม่ได้

และเรื่องสูตรการจัดตั้งรัฐบาลยังขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายด้าน

ทุกอย่างขึ้นอยู่กับกติกาใหม่ที่ได้ข้อยุติตามศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยออกมาแล้ว

ฉะนั้นใครจะเป็นนายกรัฐมนตรีต้องได้เสียงในรัฐสภา 375 เสียงขึ้นไป และใครเป็นนายกรัฐมนตรีบริหารประเทศได้ควรมี ส.ส.250 เสียงในสภาผู้แทนราษฎร

ความจริงไม่มีใครรู้ยอด 375 และ 250 มันจะออกมาเป็นเงื่อนไขจำกัดพรรคการเมืองแต่ละพรรคแค่ไหน เพราะกำลังเข้าสู่ระบบการเลือกตั้งใหม่

หากใครไปเอาตัวเลขเดิม โดยคิดว่าทุกอย่างเหมือนเดิม จะเกิดความผิดพลาดได้ เนื่องจากระบบการเลือกตั้งเดิม ประชาชนมีสิทธิเลือกตั้งในบัตร 2 ใบ 2 พรรคใหญ่รวมกันย่อมได้ ส.ส.เกิน 375 เสียงแน่

แต่ระบบการเลือกตั้งใหม่ ประชาชนมีสิทธิเลือกในบัตร 1 ใบ จะมีเกณฑ์การตัดสินใจเลือกใหม่ ย่อมมีผลต่อผู้สมัคร ส.ส. ต่อพรรคการเมืองและการเลือกนายกรัฐมนตรี

2 พรรคใหญ่อาจจะได้ ส.ส.ไม่เกิน 375 เสียงก็ได้ ถ้ามีพรรคขนาดกลางและพรรคเล็กเกิดขึ้นอีกหลายพรรค

ฉะนั้นจะเพ่งเล็งแค่ 2 พรรคการเมืองใหญ่ อาจจะไม่ใช่ ซึ่งไม่ได้บอกว่าได้หรือไม่ได้นะ

เวลานี้อาจคิดกันไปว่า ส.ว.จากการแต่งตั้ง 250 เสียงล็อกเอาไว้แล้ว และตั้งสมมติฐาน ส.ว.เปรียบเหมือนพรรคเดียวกัน ฉะนั้นจึงอยากได้คนของเขาขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี เพราะมี “ล็อก 250”

แต่ทำไมไม่คิดว่าจะมี “250 ลาก” สมมติพรรคใดได้ ส.ส.เกิน 250 เสียง ส.ว.จะกล้าไปจับมือกับส.ส.เสียงข้างน้อยหรือ

ในทางกลับกันเสียงข้างน้อยจะกล้าจับมือกับ ส.ว.เลือกนายกรัฐมนตรีและตั้งรัฐบาล โดยมี ส.ส.250 เสียงในสภาเป็นฝ่ายค้าน ถามว่าบ้าหรือไม่ ถ้าหากตอบว่ายาก และไม่มีพรรคไหนได้เกิน 250 เสียง แต่ถ้าพรรคขนาดกลาง และพรรคเล็กจับมือกันได้เกิน 250 เสียง แล้วมันต่างจากพรรคใหญ่ 250 เสียงอย่างไร

ฉะนั้นสมมติฐานที่ตั้งเอาไว้ว่าจะเอา ส.ว.แต่งตั้ง “250 ล็อก” คนเอาไว้ ในอนาคตจะรู้ได้อย่างไรว่าจะไม่เจอ 250 เสียงของสภาที่เป็น “250 ลาก” ถ้าพรรคการเมืองรวม ส.ส.ได้ 250 เสียงแล้วจะฝืนกันได้หรือ

ทั้งหมดชี้ให้เห็นว่าในอนาคตไม่มีอะไรแน่นอน จะเกิดปรากฏการณ์ ส.ว. “250 ล็อก” หรือ “250 ลาก” และถ้าตกลงกันไม่ได้ก็จะเกิดสภาวะ “รัฐบาลรักษาการ” โดยใช้อำนาจตามมาตรา 44 ไปเรื่อยๆจนกว่าจะมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งยอม หรืออาจจะเกิดการยุบสภา

มาถึงวันนี้ใครตอบได้ว่าจะเกิดขึ้น “250 ล็อก” หรือ “250 ลาก”

จะเป็นพรรคย่อยจับมือกัน หรือเป็นพรรคใหญ่จับมือกัน

วันนี้บางคนอาจมองว่าประชาชนกำลังชื่นชม พล.อ.ประยุทธ์ถ้าเป็นแบบนี้จนถึงวันเลือกตั้ง

“250 ล็อก” ย่อมมีโอกาสเกิดขึ้น

แต่ถ้าสถานการณ์เปลี่ยน การบริหารงานมา 2 ปีไม่ตอบโจทย์ประชาชน เศรษฐกิจไม่ดี

“250 ลาก” ย่อมมีโอกาสเกิดขึ้น

สุดท้ายอย่าลืมประชาชนจะให้คำตอบในเบื้องต้น.

ทีมการเมือง

 

Leave a comment