ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 16 ต.ค. 2559 05:01
อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/754602
ณ นาทีที่สิ้นเสียงประกาศแถลงการณ์สำนักพระราชวัง พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร เสด็จพระราชดำเนินไปประทับรักษาพระอาการประชวร ณ โรงพยาบาลศิริราช ตั้งแต่วันศุกร์ที่ 3 ตุลาคม พุทธศักราช 2557 ตามที่สำนักพระราชวังได้แถลงให้ทราบเป็นระยะแล้วนั้น
แม้คณะแพทย์ได้ถวายการรักษาอย่างใกล้ชิดจนสุดความสามารถ แต่พระอาการประชวรหาคลายไม่ ได้ทรุดหนักลงตามลำดับ ถึงวันพฤหัสบดีที่ 13 ตุลาคม พุทธศักราช 2559 เวลา 15 นาฬิกา 52 นาที เสด็จสวรรคต ณ โรงพยาบาลศิริราช ด้วยพระอาการสงบ สิริพระชนม พรรษาปีที่ 89 ทรงครองราชสมบัติได้ 70 ปี
ลาลับแล้ว “ดวงแก้ว” ของพสกนิกรชาวไทย
นับเป็นความสูญเสียที่ยิ่งใหญ่สุดในประวัติศาสตร์
ไม่เฉพาะแต่ชนชาติไทยเท่านั้น โดยการนี้พระราชาแห่งรัฐ ผู้นำนานาชาติทั่วโลก รวมถึงนายบัน คี มูน เลขาธิการสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ได้ส่งสารแสดงความเสียใจกับการสวรรคตของพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ของโลก
ในบรรยากาศแห่งความเศร้าโศก ถวายอาลัย
สำนักข่าวระดับโลกอย่างซีเอ็นเอ็นถึงกับพาดหัวว่า “Land of tears” เมืองแห่งน้ำตา
เบื้องต้น ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีให้สถานที่ราชการ รัฐวิสาหกิจ หน่วยงานและสถานศึกษาทุกแห่ง ลดธงลงครึ่งเสา เป็นเวลา 30 วัน ตั้งแต่วันที่ 14 ตุลาคม 2559 เป็นต้นไป
ให้ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ และเจ้าหน้าที่ของรัฐไว้ทุกข์มีกำหนด 1 ปี ตั้งแต่วันที่ 14 ตุลาคม 2559 เป็นต้นไป สำหรับประชาชนทั่วไป ขอให้พิจารณาดำเนินการตามความเหมาะสม
และประกาศคณะรัฐมนตรีให้วันที่ 14 ตุลาคม 2559 เป็นวันหยุดราชการ ให้ประชาชนน้อมเกล้าฯ ถวายอาลัย ส่งดวงพระวิญญาณเสด็จสู่สวรรคาลัย งดจัดงานรื่นเริงและมหรสพเป็นเวลา 1 เดือน
ทุกอย่างอยู่ในห้วงหยุดนิ่ง เหมือนเวลาประเทศไทยหยุดหมุน
ในขณะที่โทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศ ไทยได้จัดรายการในช่วงเวลาพิเศษ ด้วยการนำเสนอพระราชประวัติและสารคดีเกี่ยวกับพระราชกรณียกิจ
ทำให้ประชาชนคนไทยได้หวนคำนึงถึงอดีตของพระมหากษัตริย์ผู้ทรงเปี่ยมไปด้วยพระมหากรุณาธิคุณ
ตั้งแต่ชีวิตช่วงทรงพระเยาว์ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ที่สมเด็จย่าทรงเลี้ยงลูกๆเหมือนเด็กทั่วไป อยากได้ของเล่นต้องเก็บเงินซื้อเอง ประดิษฐ์ของเล่นเอง
มัธยัสถ์ ไม่ฟุ้งเฟ้อ อันเป็นวิถีที่นำมาซึ่งแนวพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียง
และสถานการณ์ภายหลังการเสด็จขึ้นครองราชย์ ที่ทรงมีพระราชดำรัสตอบประชาชนที่เฝ้าฯส่งเสด็จฯไปทรงศึกษาต่อที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ วันที่ 19 สิงหาคม พ.ศ.2489 โดยมีคนส่งเสียง “ในหลวงอย่าทิ้งประชาชน”
“ถ้าประชาชนไม่ทิ้งข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าจะทิ้งประชาชนได้อย่างไร”
นับเป็น “พระราชสัจจะ” ที่ก้องกังวาลอยู่ในหัวใจพสกนิกร
และเมื่อถึงตอนเสด็จนิวัติประเทศไทย พระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชก็ทรงดำเนินตาม “พระราชสัจจะ” ที่ให้ไว้กับประชาชนทุกประการ
ด้วยการทุ่มเททั้งพระราชหฤทัยและพระวรกาย เพื่อทำให้ราษฎรมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี
ดังภาพที่เห็นกันจนชินตา ในการเสด็จพระราชดำเนิน บุกป่า ฝ่าดง ขึ้นเขา ลงห้วย ในพระหัตถ์ถือแผนที่ปากกา สะพายกล้อง สอบถามปัญหาจากชาวบ้าน
ก่อนนำมาซึ่งสารพัดโครงการตามพระ ราชดำริ
ทั้งโครงการหลวงรองรับพืชผลเกษตรบนดอยสูง สร้างอาชีพให้ชาวเขา ลดการปลูกฝิ่น แก้ปัญหายาเสพติด โครงการฝนหลวง การสร้างเขื่อน ฝายกั้นน้ำ แก้ภัยแล้งให้เกษตรกร
โครงการพระราชดำริในการแก้ปัญหาดิน การปลูกป่า การปลูก หญ้าแฝก โครงการพระราชดำริแก้ ปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่กรุงเทพฯ กังหันน้ำชัยพัฒนาบำบัดฟื้นฟูน้ำเสีย ฯลฯ
รวมถึงแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงที่ยอมรับกันทั่วโลกว่าเป็นวิถีความสุขที่ยั่งยืน
นี่แค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น ถ้าจะเอาทั้งหมดต่อให้ออกทีวีเป็นเดือน เล่ากันเป็นปีก็ยังไม่พอ
กับสิ่งที่เกิดมาจากน้ำพระราชหฤทัยที่เปี่ยมไปด้วยพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตราษฎรยากจนให้มีความเป็นอยู่ที่ดี
โดยไม่ต้องโฆษณา แต่ชาวบ้านเห็นกับตา สัมผัสได้ด้วยตัวเอง
“พ่อของแผ่นดิน” คือเทวดามาโปรดเหล่าประชาโดยแท้
แม้แต่ในยามบ้านเมืองวิกฤติ ขัดแย้งนองเลือดอย่างเหตุการณ์ “14ตุลา” มหาวิปโยค เมื่อ พ.ศ.2516 หรือ เหตุการณ์ “พฤษภาทมิฬ” พ.ศ.2535
“ในหลวง” ก็ทรงเป็นน้ำดับไฟ
ทำให้สถานการณ์ “ไทยฆ่าไทย” สงบลงด้วยพระบารมี
โดยที่พระองค์ก็ทรงดำรงสถานะตามรัฐธรรมนูญ ในฐานะกษัตริย์ที่อยู่เหนือการเมือง ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดิน แม้จะมีความชอบธรรมอย่างเต็มเปี่ยมในการใช้อำนาจกำหนดความเป็นไปในราชอาณาจักรไทยก็ตาม
ไม่ว่ายามใด บ้านเมืองจะตกอยู่ในสถานการณ์ร้ายแรงแค่ไหน
“ในหลวง” ไม่เคยทอดทิ้งพสกนิกรของพระองค์
พิสูจน์ด้วยวัตรปฏิบัติตลอด 70 ปีในการครองราชย์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ไม่เคยปฏิบัติผิดไปจากพระปฐมบรมราชโองการ ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก วันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ.2493
“เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม”
“พ่อของแผ่นดิน” ทำเพื่อคนไทยมาทั้งชีวิตขนาดนี้ จึงไม่แปลกในวันที่ “ในหลวง” เสด็จสู่สวรรคาลัยแผ่นดินไทยเลยวิปโยค
คนไทยทั้งชาติอยู่ในภาวะเศร้าโศก อาลัย “ดวงแก้ว” อันเป็นที่รักยิ่งชีวิต
ความรู้สึกว้าเหว่ อารมณ์เหมือนขาดร่มโพธิ์ร่มไทร แม้แต่คนต่างชาติที่เข้ามาพึ่งใต้ร่มพระบรมโพธิสมภารก็เหมือนขาดที่พึ่งซึ่งเคยได้รับจากพระองค์ท่าน
สถานการณ์ถึงขั้นที่บางส่วนรู้สึกหดหู่ ท้อแท้
แต่อย่างไรก็ตาม บรรยากาศแห่งความเศร้าหมองก็ต้องมีจุดที่ตั้งหลักตั้งสติกันได้ เพราะถึงที่สุดเลยราชอาณาจักรไทยก็ยังต้องเดินหน้าต่อไป
โดยเฉพาะในเงื่อนสถานการณ์ที่ประเทศกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน
ก้าวสำคัญที่จะกำหนดทิศทางความเป็นไปในอนาคต
ตามกระบวนการโรดแม็ปที่รัฐบาล คสช.ดำเนินการมาถึงขั้นที่มีการมอบร่างรัฐธรรมนูญใหม่ให้นายกรัฐมนตรี เพื่อนำขึ้นทูลเกล้าฯก่อนประกาศบังคับใช้
สถานการณ์คืบหน้า โรดแม็ปเลยครึ่งทางมาแล้ว
และว่ากันตามแนวโน้มอย่างที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี แถลงในโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ถึงแม้เราจะอยู่ในยามทุกข์โศกน้ำตานองหน้าทั่วกันเพียงใด
ประเทศไทยอันเป็นที่รักของพวกเราและของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ ต้องดำรงต่อไป อย่าให้การเสด็จสวรรคตครั้งนี้ ทำให้พระราชปณิธานที่จะเห็นราชอาณาจักรของพระองค์ มีความเจริญรุ่งเรือง พสกนิกรมีความผาสุกสวัสดี มีเมตตาและไมตรีต่อกัน ต้องหยุดชะงักลง
ควรใช้โอกาสนี้ให้กำลังใจแก่กันและกัน เพราะเราทุกคนต่างก็มีหัวอกเดียวกัน เพราะมีพ่อของแผ่นดินร่วมกัน และโปรดช่วยกันรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง
มิให้ผู้ใดฉวยโอกาสแทรกเข้ามาก่อความขัดแย้งจนกลายเป็นความวุ่นวาย
แน่นอนมันต้องมีสิ่งแฝงอยู่ในห้วงสถานการณ์ “อ่อนไหว”
โดยเฉพาะพวกจ้องฉวยโอกาส ใช้จังหวะที่สังคมไทยกำลัง “เปราะบาง” เป็นโอกาสในการหาประโยชน์ให้ตัวเอง ทั้งในมุมของอำนาจและธุรกิจ
ไม่ได้คำนึงถึงเรื่องสปิริตหรือความจงรักภักดี
แบบที่ก่อนหน้านี้ ก็มีกระแส “คาร์บอมบ์” ข่าวกรองจากฝ่ายความมั่นคง โดย เฉพาะสายตำรวจแจ้งเตือนให้ระวังกลุ่มโจรใต้จ้องก่อวินาศกรรมในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑล
ไม่สน ไม่เกรงกฎหมาย แม้ในภาวะ “อำนาจพิเศษ”
ถึงแม้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม ในฐานะเบอร์หนึ่งด้านความมั่นคงพยายามชี้แจงว่า เป็นแค่การเตือนเพื่อให้ระมัดระวัง ไม่ประมาท
แต่นั่นก็ไม่ทันแล้ว กระแสข่าว “คาร์บอมบ์” กระตุกต่อมผวา โดยเฉพาะนักลงทุนพากันตื่นตูม สะเทือนไปถึงตลาดหุ้นแดงเถือกทั้งกระดาน
หุ้นตกแบบ “ดิ่งพสุธา” ติดต่อกัน 3-4 วัน
สถานการณ์ประจวบเหมาะกับ “ข่าวลือ” รายวัน ยิ่งซ้ำบรรยากาศในตลาดหุ้นแทบพับฐาน และกระแส “แตกตื่น” ก็ต่อเนื่องมาจนถึงแถลงการณ์สำนักพระราชวังเรื่อง “ในหลวง” สวรรคต
บรรยากาศ “วิปโยค” กระเทือนไปทุกจุด
หนักถึงขั้นที่ พล.อ.ประยุทธ์ต้องวอนภาคธุรกิจการค้า การลงทุนอย่าหยุดชะงัก ทุบหุ้น ช้อนหุ้น ขอให้ทุกคนช่วยกันรักษาเสถียรภาพ อย่าตกเป็นเหยื่อให้คนเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์
ปลุกสติประชาชนคนไทย อย่าแตกตื่นจนกลายเป็นจุดอ่อนไหว เปราะบาง
เรื่องของเรื่อง หนทางดีที่สุด ณ เวลานี้ก็คือ การช่วยกันประคองบ้านเมืองให้ผ่านพ้นสถานการณ์ลำบาก ทุกคนต้องร่วมกันเป็นหูเป็นตา รู้รักสามัคคี สานปณิธานที่ “พ่อ” สอนไว้
เพราะมันคือกุญแจที่จะพาราชอาณาจักรไทยให้เจริญรุ่งเรืองสืบไป
นี่ต่างหาก วิธีการแสดงความจงรักภักดี
การถวายอาลัย “พ่อของแผ่นดิน” อย่างแท้จริง.
“ทีมการเมือง”
