ยามชาติวิกฤตการณ์ทางการเมือง : ทรงปัดเป่าทุกข์ภัย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ทีมข่าวการเมือง 24 ต.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/761997


พระราชกรณียกิจที่เกี่ยวกับรัฐสภาและการเมืองการปกครอง

ซึ่งปรากฏอยู่ในหนังสือ ธ ทรงเป็นร่มฉัตรรัฐสภา

จัดทำโดยคณะกรรมการจัดงานเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร

ได้บันทึกพระราชกรณียกิจที่เกี่ยวกับรัฐสภาและการเมืองการปกครองของไทย ให้เห็นว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเป็นที่ประจักษ์ชัดโดยทั่วกันว่า

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณและพระคุณอันยิ่งใหญ่ต่อประเทศชาติและปวงชนชาวไทย

ปัดเป่าทุกข์ภัยในยามที่ชาติเกิดวิกฤตการณ์ทางการเมืองหลายครั้ง

พระราชทานพระราชดำรัสที่เป็นข้อคิดสำคัญ แก่สมาชิกของรัฐสภาในหลายโอกาสสำคัญๆ

เพื่อรับใส่เกล้าใส่กระหม่อมนำไปเป็นแนวทางปฏิบัติหน้าที่

และทรงใช้พระราชอำนาจหลายครั้งหลายหน เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชน

นับตั้งแต่ขึ้นสืบราชสันตติวงศ์ทรงเป็น “พระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 9” แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ถึงปัจจุบัน

พระองค์ทรงตรากตรำบำเพ็ญพระราชกรณียกิจนานัปการ

ซึ่งล้วนอำนวยประโยชน์ ยังความผาสุกร่มเย็นแก่อาณาประชาราษฎร

โดยไม่ทรงเห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อยพระวรกาย

ในยามที่สถานการณ์บ้านเมืองตกอยู่ในภาวะคับขันถึงขั้นวิกฤติ

ทั้งเหตุการณ์มหาวิปโยควันที่ 14 ตุลาคม 2516 เหตุการณ์ความไม่สงบเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2519

เหตุการณ์จลาจลเมื่อเดือนพฤษภาคม 2535

ด้วยเดชะพระบารมีทรงขจัดปัดเป่าดับเหตุนั้นลง

ยังความสงบ สันติสุขกลับคืนด้วยพระอัจฉริยภาพ พระปรีชาญาณอันสุขุม และพระมหากรุณาธิคุณ อันทรงพลังสำคัญแห่งแผ่นดิน

ขอยกเหตุการณ์ในช่วงค่ำของวันที่ 20 พฤษภาคม 2535

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พระราชทานพระบรมราชวโรกาส

ให้นายสัญญา ธรรมศักดิ์ ประธานองคมนตรี และ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ องคมนตรีและรัฐบุรุษ นำ พล.อ.สุจินดา คราประยูร นายกรัฐมนตรี และ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง อดีตหัวหน้าพรรคพลังธรรม เข้าเฝ้าฯ ณ ตำหนักจิตรลดารโหฐาน

ในโอกาสนี้ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้พระราชทานพระราชดำรัส

ให้ พล.อ.สุจินดา และ พล.ต.จำลอง ซึ่งเปรียบเหมือนเป็นผู้แทนของฝ่ายต่างๆ ช่วยกันแก้ไขปัญหา

โดยหันหน้าเข้าหากันเพื่อฟื้นฟูบ้านเมือง

โดยนายสัญญาและ พล.อ.เปรมจะเป็นผู้ให้คำแนะนำปรึกษาด้วยความเป็นกลาง

ด้วยเดชะพระบารมี และด้วยพระปรีชาญาณ เหตุการณ์รุนแรงภายในบ้านเมือง ซึ่งมีผลกระทบถึงเกียรติภูมิของชาติ กระทบกระเทือนภาวะเศรษฐกิจ และความผาสุกร่มเย็นของประชาชนเป็นส่วนใหญ่ก็ยุติลง

บ้านเมืองกลับคืนสู่สภาวะปกติได้อีกครั้งหนึ่ง

ท่ามกลางบรรยากาศที่เศร้าสลดอันเนื่องมาจากการเสียเลือดเนื้อและการแตกแยกสามัคคีกันในชาติ

ขอย้อนกลับไปในช่วงค่ำของวันนั้น เวลา 21.30 น.

กระแสพระราชดำริ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหา ภูมิพลอดุลยเดช พระราชทาน

มีใจความว่า ทุกคนก็ทราบถึงเหตุการณ์ที่มีความยุ่งเหยิงและจะทำให้ประเทศชาติล่มจมไปได้

ถึงเชิญให้ พล.อ.สุจินดาและ พล.ต.จำลองให้มาพบ เพราะตั้งแต่แรกที่มีเหตุการณ์ สองท่านเป็นผู้ที่เผชิญหน้ากันและในที่สุดการต่อสู้หรือการเผชิญหน้ากว้างขวางออกไป

การเผชิญหน้าตอนแรกก็จะเห็นจุดประสงค์ของทั้งสองฝ่ายได้ชัดเจนพอสมควร แต่ต่อมาภายหลัง 10 กว่าวัน ก็เห็นแล้วว่าการเผชิญหน้านั้น เปลี่ยนโฉมหน้าไปอย่างมาก จนกระทั้งผลจะออกมาอย่างไรก็ตามก็จะเสียทั้งนั้น

เพราะทำให้มีความเสียหายในทางชีวิตเลือดเนื้อของคนจำนวนมากพอสมควร แล้วมีความเสียหายทางวัตถุ ซึ่งเป็นของส่วนราชการและส่วนบุคคล เป็นมูลค่ามากมาย

นอกจากนั้นก็มีความเสียหายในทางจิตใจและในทางเศรษฐกิจของประเทศ อย่างที่จะนับคณนาไม่ได้

การที่จะเป็นอย่างนี้ต่อไป จะเป็นด้วยเหตุผลหรือต้นตออย่างไรก็ช่าง เพราะเดี๋ยวนี้เหตุผลเปลี่ยนไป ถ้าเผชิญหน้ากันแบบนี้ต่อไป เมืองไทยมีแต่ล่มจมลงไป แล้วประเทศไทยที่เราสร้างเสริมขึ้นมาอย่างดีเป็นเวลานาน จะกลายเป็นประเทศที่ไม่มีความหมาย หรือมีความหมายในทางลบอย่างมาก ซึ่งเริ่มปรากฏให้เห็นแล้ว

ฉะนั้นจะต้องช่วยกันแก้ไข โดยดูว่ามีข้อขัดแย้งอย่างไร แล้วพยายามแก้ไขตามลำดับ เพราะปัญหาสองสามวันนี้มันเปลี่ยนไป ไม่ใช่เป็นเรื่องของการเมืองหรือการดำรงตำแหน่ง มันเป็นปัญหาของการสึกหรอของประเทศ

มีหลายคนทั้งในเมืองไทยและต่างประเทศ ส่งข้อเสนอแนะนำการแก้ไขสถานการณ์จำนวนเป็นร้อย ตั้งแต่บอกให้แก้ไขด้วยวิธียุบสภา

ซึ่งได้หารือกับทุกฝ่ายที่เป็นพรรคการเมืองทั้งหมด 11 พรรค ส่วนใหญ่มีคำตอบไม่ยุบสภา มีพรรคเดียวบอกว่าควรยุบสภา ฉะนั้นการแก้ไขแบบนี้ที่เขาเสนอมาเป็นอันว่าตกไป

การแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้ได้ตามประสงค์เดิมที่เกิดการเผชิญหน้ากัน เป็นข้อเสนออีกแบบหนึ่ง ความจริงวิธีนี้ได้พูดเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2534 ต่อสมาคมที่มาพบจำนวนหลายพันคน ดูเหมือนว่าพอจะฟังกัน

ถ้าหากสามารถที่จะปฏิบัติตามที่ได้พูดในวันที่ 4 ธันวาคม เท่ากับเป็นการกลับไปดูปัญหาเดิม ไม่ใช่ปัญหาวันนี้

ปัญหาวันนี้ไม่ใช่ปัญหาของการบัญญัติหรือการแก้ไขรัฐธรรมนูญ

ปัญหาทุกวันนี้ คือ ความปลอดภัยและขวัญของประชาชน

ซึ่งเดี๋ยวนี้ประชาชนทั่วทุกแห่งหน มีความหวาดระแวงว่าจะเกิดอันตราย มีความหวาดระแวงว่าประเทศชาติจะล่มจม ถ้าหากเราไม่ทำให้สถานการณ์อย่าง 3 วันที่ผ่านมาสิ้นสุดลงไปได้

ฉะนั้นขอให้ท่าน โดยเฉพาะ พล.อ.สุจินดาและ พล.ต.จำลอง ช่วยกันคิด

หันหน้าเข้าหากัน ไม่เผชิญหน้ากัน

เพราะประเทศของเราไม่ใช่ของหนึ่งคน สองคน เป็นประเทศของทุกคน

ต้องเข้าหากัน ไม่เผชิญหน้ากันแก้ปัญหา

เพราะอันตรายมีอยู่ เวลาคนเราเกิดความบ้าเลือด ปฏิบัติการรุนแรงต่อกัน

มันลืมตัว ลงท้ายก็ไม่รู้ว่าตีกันเพราะอะไร แล้วก็จะแก้ปัญหาอะไร

เพียงแต่จะต้องเอาชนะ แล้วใครจะชนะ ไม่มีทาง อันตรายทั้งนั้น

มีแต่แพ้ คือต่างคนต่างแพ้ ผู้ที่เผชิญหน้าก็แพ้

แล้วที่แพ้ที่สุดก็คือประเทศชาติ

ประชาชนจะเป็นประชาชนทั้งประเทศ ไม่ใช่เฉพาะในกรุงเทพมหานคร ถ้าสมมติว่ากรุงเทพมหานครเสียหาย ประเทศก็เสียหายไปทั้งหมด

จะมีประโยชน์อะไรที่จะทะนงตัวว่าชนะ เวลาอยู่บนกองสิ่งปรักหักพัง

ฉะนั้นขอให้ทั้งสองท่านเข้ามา คือ ไม่เผชิญหน้า แต่ต้องหันหน้าเข้าหากัน และสองท่านนี้เท่ากับเป็นผู้แทนของฝ่ายต่างๆ คือไม่ใช่สองฝ่าย คือฝ่ายต่างๆที่เผชิญหน้ากัน

ให้ช่วยกันแก้ปัญหาความรุนแรงที่เกิดขึ้น เมื่อเยียวยาปัญหานี้ได้แล้ว จะมาพูดปรึกษากันว่า จะทำอย่างไรสำหรับให้ประเทศไทยมีการสร้างพัฒนาขึ้นมาได้ กลับคืนมาได้โดยดี

ท่านประธานองคมนตรี ท่านองคมนตรีเปรม ก็เป็นผู้ที่เป็นผู้ใหญ่

ผู้ที่พร้อมที่จะให้คำแนะนำ ปรึกษาหารือกันด้วยความเป็นกลาง ด้วยความรัก

เพื่อสร้างสรรค์ประเทศ ให้เข้าสู่ทางของความวัฒนา

ขอฝากให้ช่วยกันสร้างชาติ.

ทีมการเมือง

 

Leave a comment