ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า
http://www.naewna.com/creative/253203
วันศุกร์ ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2560, 02.00 น.
นับเป็นการเปิดประเด็นร้อนแรงยั่วโทสะและสวนกระแสบรรยากาศการสร้างความปรองดองของแกนนำสองพรรคใหญ่คือเพื่อไทยและประชาธิปัตย์ที่คงทำเอาเหล่าท็อปบู๊ตหงุดหงิดไม่น้อยด้วยการเรียกร้องให้กองทัพร่วมลงนามในเอ็มโอยูเพื่อสร้างความปรองดองโดยให้สัตยาบันว่า จะไม่มีการปฏิวัติรัฐประหารฉีกรัฐธรรมนูญอีกในอนาคต
คนการเมืองรายแรกที่ออกมาเปิดประเด็นร้อนคือ นายวรชัย เหมะ อดีต สส.พรรคเพื่อแม้ว เจ้าเก่าที่เคยผลักดันร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับสุดซอยยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ที่มีเป้าหมายแอบแฝงหวังลบล้างโทษความผิดให้กับ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯนักโทษหนีคุกคดีทุจริต เพื่อจะได้กลับบ้านแบบเท่ๆโดยไม่ต้องติดคุกทั้งๆ ที่เป็นการทำลายหลักนิติรัฐ จนเป็นชนวนให้มวลมหาประชาชนหลายล้านคนออกมาชุมนุมแสดงพลังครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ต่อต้านและขับไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ และจบลงด้วยการยึดอำนาจของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)เมื่อวันที่ 22 พ.ค.2557 ล่าสุดนายวรชัย ออกมาเปิดประเด็นร้อนแกว่งปากหาท็อปบู๊ตว่า การปรองดองไม่ใช่เรื่องการนิรโทษกรรมอย่างเดียว แต่เป็นเรื่องการสร้างจิตสำนึกโดยเฉพาะนายทหารนักการเมืองบางคนให้รู้จักเคารพกติกาของประเทศ หากอยากมีอำนาจบริหารประเทศขอให้มาลงเลือกตั้ง และอยากเสนอให้นายทหารและกองทัพไทยมาเซ็นเอ็มโอยูเพื่อสร้างความปรองดองโดยให้สัตยาบันว่าจะไม่ก่อรัฐประหารอีก
ส่วนรายที่สองคือ นายกษิต ภิรมย์ อดีตรมว.ต่างประเทศ และอดีตสส.พรรคประชาธิปัตย์ ที่เห็นว่า เอ็มโอยู ที่คนไทยต้องการนั้นรวมถึงการที่ทหารจะไม่ออกมาทำรัฐประหารและฉีกรัฐธรรมนูญอีกในอนาคต นั่นก็แปลว่าในการปฏิรูปประเทศครั้งนี้ประชาชนจะต้องได้รับระบบการบังคับใช้กฎหมายที่ดีเพียงพอที่จะใช้ตรวจสอบควบคุมการบริหารประเทศ และสามารถจัดการข้อขัดแย้งกันเองได้ โดยทหารจะได้เอาเวลาไปปฏิบัติหน้าที่เฉพาะของตนเองได้อย่างเต็มที่
จากความเห็นของแกนนำสองพรรคใหญ่ดังกล่าวคงต้องพิเคราะห์ถึงที่มาที่ไปและประวัติศาสตร์การยึดอำนาจของท็อปบู๊ต 2 ครั้งหลังช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ซึ่งต้องยอมรับว่าการเข้ามาของฝ่ายทหารนั้นไม่ใช่เพราะอยากได้อำนาจ แต่จำเป็นต้องเข้ามาเพราะนักลากตั้งแก้ปัญหากันเองไม่ได้จนนำชาติไปสู่ความวิบัติ และเพื่อหยุดยั้งการนองเลือดของคนในชาติ และที่สำคัญคือเพื่อหยุดพฤติกรรมชั่วร้ายของนักธุรกิจการเมืองทุนสามานย์เผด็จการเสียงข้างมากในคราบประชาธิปไตยจอมปลอม
โดยรัฐประหารยึดอำนาจจากรัฐบาลทักษิณเมื่อปี 2549 ก็ด้วยเหตุผล 3 ประการคือ 1.รัฐบาลทักษิณทุจริตคอร์รัปชั่นโกงชาติปล้นแผ่นดินอย่างมโหฬารและย่ามใจ 2. ส่อพฤติการณ์บ่อนทำลายสถาบันเบื้องสูง และ 3. ใช้ความเป็นเผด็จการเสียงข้างมากในคราบประชาธิปไตยแทรกแซงองค์กรอิสระและผูกขาดอำนาจทำสิ่งเลวร้ายตามใจชอบจนเกิดความแตกแยกในชาติอย่างลึกซึ้งรุนแรงชนิดไม่เคยปรากฏมาก่อนนำมาซึ่งการออกมาชุมนุมขับไล่ของพลังมหาประชาชนกลายเป็นสงครามกลางเมืองนองเลือด
ส่วนการรัฐประหารโดยคสช.เมื่อวันที่ 22 พ.ค.2557 นอกจากเพื่อป้องกันสงครามกลางเมืองนองเลือดครั้งใหญ่แล้ว ยังเพราะรัฐบาลมีการทุจริต และไม่สามารถบริหารประเทศต่อไปได้จากการออกมาแสดงพลังขับไล่ครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของมวลมหาประชาชนหลายล้านคนจนบ้านเมืองเข้าสู่ภาวะรัฐล้มเหลวสิ้นเชิง
เพราะฉะนั้นการรัฐประหารสองครั้งที่ผ่านมาจึงไม่ใช่เกิดจากการกระหายอำนาจของฝ่ายทหาร แต่เป็นเพราะพฤติกรรมอันชั่วร้ายเหลวแหลกเน่าเฟะของเหล่านักธุรกิจการเมืองทั้งสิ้น
ทั้งนี้คงไม่มีใครอยากให้ทหารเข้ามายึดอำนาจฉีกรัฐธรรมนูญซึ่งหากนักลากตั้งทั้งหลายประพฤติตนอยู่กับร่องกับรอยมีจริยธรรมและธรรมาภิบาล กองทัพไม่ว่าหน้าไหนก็ไม่มีช่องทางที่อยู่ๆ จะขนรถถังเข้ามาล้มกระดานเพราะการยึดอำนาจถือเป็นกบฏมีโทษถึงขั้นประหาร จึงต้องมีสาเหตุและความชอบธรรมพอ ถ้าทหารยึดอำนาจเพื่อตัวเองประชาชนไม่ยอมและออกมาต่อต้านแน่นอนซึ่งประวัติศาสตร์ก็มีบทเรียนให้เห็นมาแล้ว
ในทางตรงกันข้ามหากทหารเข้ามาเพื่อกอบกู้สถานการณ์เพื่อชาติบ้านเมืองย่อมได้รับการแซ่ซ้องสนับสนุนจากประชาชน จึงไม่แปลกที่ผลสำรวจของโพลล์ไม่ว่าสำนักไหนนับตั้งแต่คสช.เข้ามาควบคุมอำนาจการปกครองประเทศตั้งแต่เมื่อวันที่ 22 พ.ค.2557 สะท้อนให้เห็นว่า ประชาชนเอือมระอาต่อพฤติการณ์ของเหล่านักลากตั้งเต็มที ขณะเดียวกันให้การสนับสนุนคสช.ด้วยเสียงท่วมท้นถึงขนาดอยากให้คสช.อยู่บริหารประเทศต่อไปนานๆ เนื่องจากอยากให้บ้านเมืองเกิดความสงบสุขไม่กลับไปสู่วิกฤติอันเลวร้ายโดยเหล่านักการเมืองอีก
เผด็จการนั้นมีหลายรูปแบบทั้งเผด็จการทหารและเผด็จการเสียงข้างมากในคราบประชาธิปไตยจอมปลอม ซึ่งเผด็จการทหารที่ยึดอำนาจฉีกรัฐธรรมนูญนั้นเผยตัวตนอย่างชัดเจนว่าเข้ามามีอำนาจนอกวิถีทางของประชาธิปไตยซึ่งหากประชาชนไม่พอใจสามารถลุกฮือออกมาต่อต้านได้ แต่ที่อันตรายยิ่งกว่าก็คือรัฐบาลเผด็จการรัฐสภาเสียงข้างมากในคราบประชาธิปไตยจอมปลอมที่แนบเนียนอำพรางโฉมหน้าที่แท้จริงในการทำสิ่งชั่วร้ายโดยอาศัยความชอบธรรมจากคราบนักลากตั้งตามระบอบประชาธิปไตยบังหน้า
การที่แกนนำสองพรรคใหญ่เรียกร้องให้ท็อปบู๊ตลงนามในเอ็มโอยู ให้สัตยาบันว่าจะไม่ก่อรัฐประหารอีกจึงเป็นแค่วาทกรรมของพวกหลักกูโลกสวยประชาธิปไตยจ๋าแบบไม่ลืมหูลืมตาและสอดคล้องกับประชาธิปไตยแบบไทยๆที่เต็มไปด้วยความเหลวแหลกเน่าเฟะ ทั้งนี้การยึดอำนาจล้มกระดานจะเกิดขี้นอีกหรือไม่คงไม่มีใครสามารถรับประกันได้เพราะปัจจัยสำคัญที่จะกำหนดก็คือเหล่านักลากตั้งเอง ซึ่งหากทำตัวดีย่อมไม่มีช่องให้ท็อปบู๊ตเข้ามา เว้นแต่จะประพฤติชั่วเป็นธุรกิจการเมืองเผด็จการเสียงข้างมากในคราบประชาธิปไตยจอมปลอมที่โกงชาติปล้นแผ่นดินอย่างย่ามใจและนำประเทศไปสู่การนองเลือดกลายเป็นรัฐ
ล้มเหลวนั่นย่อมเปิดช่องและความชอบธรรมที่จะมีอัศวินม้าขาวเข้ามากอบกู้ชาติบ้านเมืองท่ามกลางเสียงปรบมือสนับสนุนของประชาชนส่วนใหญ่
ทีมข่าวการเมือง
