จับตาขบวนการเพื่อแม้วป่วน ถ้าปรองดองไม่สนองนายใหญ่

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/252367

วันเสาร์ ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2560, 02.00 น.

ก่อนที่จะไปวิเคราะห์แนวโน้มการสร้างความปรองดองข่าวสำคัญข่าวหนึ่งที่ผู้คนเริ่มลืมเลือนไปก็คือการตามจับกุมธัมมชโย อดีตเจ้าสำนักจานบินและพวก รวมทั้งคดีครอบครองเบนซ์โบราณเถื่อนของสมเด็จช่วง เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ผู้ทำหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช และประธานมหาเถรสมาคม(มส.) อันเป็นอาจารย์ของธัมมชโยที่ชักทะแม่งและเริ่มแผ่วส่อเค้าอาจกลายเป็นมวยล้มต้มคนดู

โดยหมายจับ ธัมมชโย ของกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ในข้อหาฟอกเงินและรับของโจรในคดีพัวพันโกงสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น และหมายจับของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.) 2 หมาย ข้อหาครอบครองและบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติและที่ราชพัสดุตั้งเป็นสาขาสำนักจานบินเวิลด์พีซวัลเล่ย์ ที่เขาใหญ่จ.นครราชสีมา และที่จ.เลย ซึ่งก่อนปีใหม่มีการยึกยักเลื่อนแล้วเลื่อนอีกในการเข้าตรวจค้นจับกุม ธัมมชโย และสาวกอีกหลายคนโดยมีการส่งสัญญาณว่าจะปฏิบัติการจับ ธัมมชโย ทันทีหลังปีใหม่ แต่นี่มาถึงกลางเดือน ม.ค.แล้วฝ่ายเจ้าหน้าที่ยังนิ่งสนิทขณะที่เริ่มมีรายงานข่าวว่า ธัมมชโย และ นายองอาจ ธรรมนิทาโฆษกสำนักจานบิน ผู้ต้องหาตามหมายจับฐานยุยงปลุกปั่นสาวกจานบินเพื่อขวางการจับ ธัมมชโย บัดนี้เผ่นหนีออกนอกประเทศไปแล้วอย่างลอยนวล

ส่วนคดีรถเบนซ์โบราณเถื่อนที่ตอนแรกทำท่าขึงขังที่สาวไปให้ถึง สมเด็จช่วง และพระเลขาฯคนสนิทคือ พระมหาศาสนมุนี หรือ หลวงพี่แป๊ะ แต่แล้วล่าสุดถูกตั้งข้อสังเกตว่าอาจเป็นมวยล้มต้มคนดูโดยสำนักงานอัยการสูงสุด(อสส.)มีความเห็นสั่งฟ้องบรรดาเจ้าของอู่รถอีก 2-3 คน ที่ร่วมปลอมแปลงเอกสารเท็จนำเข้าอุปกรณ์เพื่อประกอบรถเบนซ์โบราณเถื่อนของ สมเด็จช่วง โดยสั่งไม่ฟ้อง หลวงพี่แป๊ะด้วยเหตุผลว่า ไม่มีพยานหลักฐานใดพิสูจน์ได้ว่าผู้ต้องหารับรถยนต์ไว้โดยรู้ว่าเป็นรถเถื่อน

สรุปได้ว่าคดีนี้ความผิดอาจถูกตัดตอนไปอยู่แค่เจ้าของอู่ที่ประกอบและซ่อมรถเบนซ์โบราณเถื่อน ซึ่งสาธารณะก็วินิจฉัยเอาเองก็แล้วกันว่า รถเบนซ์โบราณเถื่อนราคาหลายล้านบาทเป็นไปได้หรือไม่ที่เจ้าของอู่รถจะซ่อมโดยไม่มีคนว่าจ้างและจ่ายเงินให้ ซึ่งข้อน่าสงสัยก็คือคนจ้างและคนจ่ายเงินทำไมไม่ถูกดำเนินคดี

อย่างไรก็ตาม คดีนี้ยังไม่เป็นที่สิ้นสุดโดยฝ่าย อสส.ต้องส่งความเห็นไปยังดีเอสไอซึ่งดีเอสไอมีอยู่ 2 ทางเลือก คือไม่คัดค้านความเห็นของอสส. หรือหากคัดค้านต้องเริ่มกระบวนการทำสำนวนการสอบสวนเพิ่มเติมใหม่แล้วส่งไปยังอสส.อีกครั้ง ซึ่งการสั่งไม่ฟ้องของอสส.ครั้งนี้มีข้อน่าสังเกตว่า อาจเกิดจากดุลยพินิจของอสส. หรืออาจเป็นเพราะดีเอสไอทำสำนวนอ่อนตั้งแต่แรก

เพราะฉะนั้นสาธารณชนคงต้องจับตาดูต่อไปว่า กรณีการตามจับ ธัมมชโยและ คดีรถเบนซ์โบราณ เถื่อนของ สมเด็จช่วง จะจบลงแบบมวยล้มต้มคนดูอย่างสมบูรณ์แบบหรือไม่

ส่วนอีกเรื่องหนึ่งที่กำลังเป็นประเด็นร้อนระดับชาติคือการสร้างความปรองดองซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)ประกาศจะสร้างประวัติศาสตร์ทำให้สำเร็จภายในปี 2560 นี้ โดยมอบหมายให้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง รับผิดชอบในการวางแนวทางและเชิญบุคคลสำคัญจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องมาร่วมหารือโดยมีข่าวว่าจะมีอดีตนายกฯคนดังเข้าร่วมด้วย

ขณะที่มีรายงานข่าวน่าสนใจความเคลื่อนไหวหนึ่งก็คือร่าง พ.ร.บ.การอำนวยความยุติธรรมทางอาญาที่เกี่ยวกับมูลเหตุจูงใจทางการเมืองที่คณะกรรมาธิการด้านการเมืองของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) ที่มี นายกล้านรงค์ จันทิก เป็นประธานพิจารณาเสร็จแล้วโดยมีทั้งหมด 33 มาตรา ซึ่งสรุปสาระสำคัญได้ว่า ให้มีคณะกรรมการอำนวยความยุติธรรมทางอาญาที่เกี่ยวเนื่องกับมูลเหตุจูงใจทางการเมืองจำนวน 11 คน ประกอบด้วยตัวแทนจากคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติคณะกรรมการตุลาการศาลปกครอง คณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม คณะกรรมการอัยการ ผู้ตรวจการแผ่นดิน สถาบันพระปกเกล้า กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ สภาทนายความและที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย

คณะกรรมการอำนวยความยุติธรรมทางอาญาฯทั้ง 11 คนจะทำหน้าที่รวบรวมข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ที่เกี่ยวเนื่องจากเหตุการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองตั้งแต่ปี 2548 ถึงวันที่ 22 พ.ค.2557 อันเป็นวันที่คสช.เข้าควบคุมอำนาจการปกครองประเทศ และกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการอำนวยความยุติธรรมตลอดจนการเยียวยา และเสนอแนะแนวทางความเห็นในการอำนวยความยุติธรรมต่อคณะรัฐมนตรี รัฐสภา ศาล องค์กรอัยการ และองค์กรอื่นที่เกี่ยวข้อง

คณะกรรมการอำนวยความยุติธรรมทางอาญาฯมีอำนาจจำแนกคดีอาญาที่มีมูลเหตุจูงใจทางการเมืองแล้วส่งความเห็นลดหย่อนโทษต่อศาลและอัยการได้ แต่ที่สำคัญการอำนวยความยุติธรรมทางอาญาจะไม่ครอบคลุมผู้ต้องหาคดีทุจริต คดีหมิ่นเบื้องสูงตามมาตรา 112 หรือคดีอาญาร้ายแรงเกี่ยวกับความมั่นคง

ดังนั้นคงต้องดูกันต่อไปว่าแนวทางสร้างความปรองดองครั้งประวัติศาสตร์ที่กำลังจะเกิดขี้นภายใต้ยุคคสช.จะสัมฤทธิผลตามเป้าหมายหรือไม่ โดยตัวแปรสำคัญที่ต้องจับตาคือท่าทีของขบวนการเพื่อแม้วโดยเฉพาะนักโทษชายแม้ว เพราะจากสาระสำคัญของร่าง พ.ร.บ.การอำนวยความยุติธรรมเพื่อสร้างความปรองดองฉบับนี้ไม่สนองความต้องการของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯนักโทษหนีคุกคดีทุจริต และน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรอดีตนายกฯหุ่นเชิดผู้เป็นน้องสาวซึ่งเป็นจำเลยคนสำคัญคดีโครงการรับจำนำข้าวที่สร้างความเสียหายแก่ประเทศครั้งเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ ทั้งนี้นักวิเคราะห์มองว่าหลังการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นหากพรรคเพื่อแม้วได้กลับมาเป็นรัฐบาลอาจจะมีการรื้อรัฐธรรมนูญและกฎหมายเพื่อสร้างความปรองดองฉบับนี้อย่างขนานใหญ่เพราะเป้าหมายสำคัญที่นักโทษชายแม้วต้องการคือลบล้างโทษความผิดให้ตัวเองเพื่อจะได้กลับบ้านแบบเท่ๆ รวมทั้งลบล้างโทษความผิดของน.ส.ยิ่งลักษณ์ตลอดจนเหล่าบริวารขบวนการเพื่อแม้วที่เป็นผู้ต้องหาก่อการร้ายเผาบ้านทำลายเมืองและหมิ่นเบื้องสูงซึ่งนั่นหมายถึงชนวนระเบิดเวลาที่จะนำไปสู่ความแตกแยกครั้งใหญ่รอบใหม่

ทีมข่าวการเมือง

Leave a comment