นิรโทษกรรมเพื่อปรองดอง ต้องแยกแยะไม่ทำลายหลักนิติรัฐ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/252251

วันศุกร์ ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2560, 02.00 น.

การสร้างความปรองดองก่อนการเลือกตั้งกำลังกลายเป็นประเด็นร้อนที่ทุกฝ่ายกำลังเฝ้าจับตา โดยก่อนหน้านี้คนของขบวนการเพื่อแม้วออกมาส่งสัญญาณเรียกร้องให้มีการนิรโทษกรรมความผิดแก่คนทุกสีทุกกลุ่มเพื่อสร้างความปรองดอง แต่ท่าทีล่าสุดของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ชัดเจนว่าไม่เห็นด้วยที่จะมีการพูดเรื่องการนิรโทษกรรมในขณะนี้

สำหรับขบวนการเพื่อแม้วที่ผ่านมา อ้างการสร้างความปรองดองบังหน้าแต่ซ่อนเป้าหมายที่แท้จริงก็เพื่อลบล้างโทษความผิดให้กับ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯนักโทษหนีคุกคดีทุจริต เพื่อจะได้กลับบ้านแบบเท่ๆ โดยไม่ต้องติดคุกตามคำพิพากษาของศาลอันเป็นการทำลายหลักนิติรัฐและอาจรวมถึงเป้าหมายต่อรองเพื่อล้มคดีโครงการรับจำนำข้าวที่มีการทุจริตโกงชาติปล้นแผ่นดินมโหฬารและสร้างความเสียหายแก่ประเทศครั้งเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยมี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯหุ่นเชิด และพวกที่เป็นจำเลยคนสำคัญ ตลอดจนลบล้างโทษความผิดให้กับเหล่าแกนนำเสื้อแดงภายใต้การบงการของ นักโทษชายแม้ว ที่สร้างสถานการณ์ก่อการร้ายเผาบ้านทำลายเมืองเมื่อปี 2553

ความพยายามที่จะผลักดันให้มีการนิรโทษกรรมครั้งล่าสุดของขบวนการเพื่อแม้ว ก็คือ การหักดิบลักไก่ผลักดัน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับสุดซอยที่บงการ โดย นักโทษชายแม้ว ในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ โดยซ่อนเป้าหมายแอบแฝงเพื่อลบล้างโทษความผิดให้ นักโทษชายแม้ว จนเป็นชนวนให้มวลมหาประชาชนออกมาแสดงพลังคัดค้านครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์หลายล้านคนจนกลายเป็นวิกฤตการณ์นองเลือดและประเทศกลายเป็นรัฐล้มเหลวสิ้นเชิง ทำให้คสช.ต้องเข้ายึดอำนาจการปกครองเพื่อปฏิรูปประเทศเมื่อวันที่ 22 พ.ค.2557

เมื่อเร็วๆ นี้ แกนนำพรรคเพื่อแม้วหลายคนออกมาส่งสัญญาณเรียกร้องให้สร้างความปรองดองไม่ว่าจะเป็น นายสามารถ แก้วมีชัย อดีตสส.เชียงราย นายวรชัย เหมะ อดีตสส.สมุทรปราการ และล่าสุดคือ นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล อดีตสส.และรองหัวหน้าพรรคเพื่อแม้ว ส่งสัญญาณแบะท่าพร้อมที่จะเข้าร่วมการหารือกับทุกฝ่ายเพื่อสร้างความปรองดอง

ขณะที่จุดยืนของ นักโทษชายแม้ว ที่เคยส่งสัญญาณมาตลอดก็คือ หากต้องการให้เกิดการปรองดองต้องเซตซีโร่โดยทุกอย่างต้องกลับไปสู่สภาพเดิมก่อนที่รัฐบาลทักษิณจะถูกรัฐประหารครั้งแรกเมื่อปี 2549 นั่นหมายถึงต้องคืนความยุติธรรมทุกอย่างให้กับ อดีตนายกฯนักโทษหนีคุก ที่นอกจากถูกศาลพิพากษาจำคุก 2 ปี โดยไม่รอลงอาญาในคดีทุจริตซื้อที่ดินย่านรัชดาภิเษก แล้วยังมีคดีทุจริต รวมทั้งคดีเกี่ยวกับความมั่นคงเป็นชนักปักหลักอีกหลายคดี

แต่สำหรับคสช.และรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ แสดงท่าทีล่าสุดชัดเจนถึงการสร้างความปรองดองว่า ต้องย้อนกลับไปสู่ว่าความแตกแยกในชาติที่ผ่านมา มีต้นเหตุเกิดจากอะไร นอกจากเรื่องการเมืองแล้วยังมีเรื่องอื่นอีกหรือไม่ เพราะถ้าพูดเรื่องการเมืองอย่างเดียวก็ต้องพูดถึงเรื่องการนิรโทษกรรมทำให้ทุกอย่างเดินหน้าไปไม่ได้

“ขอให้ทุกคนเข้าใจว่าประเทศปั่นป่วนมา 10 กว่าปีแล้ว มีคนทำผิดกฎหมาย ไม่ยอมรับกติกาสังคม ไม่เช่นนั้นรัฐบาลคงไม่เข้ามาอยู่ตรงนี้ แต่เมื่อเข้ามาแล้วก็ต้องแก้ไขปัญหาเพื่อไม่ให้ปัญหากลับมาที่เก่า……การปรองดองไม่ใช่เฉพาะคนที่มีโทษ เพราะคนปกติก็ต้องปรองดองกัน ไม่อย่างนั้นก็ยังแบ่งเป็นพวก”

ล่าสุด พล.อ.ประยุทธ์ เป็นประธานการประชุมเตรียมการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติและการสร้างความปรองดองสมานฉันท์ ที่ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งภายหลังการประชุม พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า วันนี้ถือเป็นวันสำคัญที่สุดสำหรับประเทศไทยเพราะจะเป็นการเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ของประเทศในทุกด้าน

ขณะเดียวกันก็มีความเคลื่อนไหวทะแม่งๆ จากข้อเสนอของ นายเสรี สุวรรณภานนท์ ประธานคณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านการเมือง สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ(สปท.) เกี่ยวกับแนวทางการสร้างความปรองดองโดยเฉพาะแนวคิดที่จะจัดให้คดีก่อการร้ายเผาบ้านทำลายเมืองของขบวนการระบอบทักษิณและคดีบุกสนามบินของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ไม่ถือเป็นคดีร้ายแรง พร้อมเสนอให้มีการพักโทษหรือการประกันตัวผู้กระทำผิดให้ศาลพิจารณา ซึ่งอาจถูกมองได้ว่าเป็นการทำลายหลักนิติรัฐและแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม

ความจริงแล้วในส่วนของประชาชนทุกสีทุกกลุ่มภายใต้สถานการณ์ปัจจุบันไม่ได้มีความแตกแยกรุนแรงเหมือนในอดีต แต่มีความปรองดองมากขึ้นอันเป็นผลคุณูปการจากการเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ ที่ทำให้เกิดบรรยากาศคนไทยทั้งชาติทุกสีทุกกลุ่มหล่อหลอมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันหันมาเกื้อกูลปรองดองมุ่งทำความดีสืบสานพระปณิธานของพ่อแห่งแผ่นดินโดยเฉพาะการรักใคร่กลมเกลียวรู้รักสามัคคีเพื่อให้แผ่นดินเกิดความสงบสุขร่มเย็น

อีกทั้งประชาชนที่เคยถูกดำเนินคดีจากการร่วมชุมนุมทางการเมืองในอดีตขณะนี้ ได้รับการปล่อยตัวหมดแล้ว ดังนั้นในส่วนของประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศขณะนี้จึงไม่มีปัญหาเรื่องการสร้างความปรองดอง แต่ที่ยังมีการเคลื่อนไหวสุมไฟแตกแยกและพยายามกดดันต่อรองเพื่อให้มีการออกกฎหมายนิรโทษกรรมที่มีเป้าหมายแอบแฝงเพื่อคนเพียงคนเดียว โดยอ้างการสร้างความปรองดองบังหน้าอยู่ทุกวันนี้เป็นฝีมือของขบวนการเพื่อแม้ว

เพราะฉะนั้นคงต้องรอดูแนวทางสร้างความปรองดองของคณะกรรมการยุทธศาสตร์ยุคคสช.ว่าจะออกมาอย่างไร ซึ่งความจริงที่ผ่านมาคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ(คอป.)ที่มี ดร.คณิต ณ นคร เป็นประธาน หรือแม้แต่สถาบันพระปกเกล้า เคยศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดองในชาติจนได้ข้อสรุปที่สมเหตุสมผลโดยมีสาระสำคัญว่า การสร้างความปรองดองต้องทำอย่างเป็นขั้นตอนและไม่ทำลายหลักนิติรัฐ โดยคู่ขัดแย้งทุกฝ่ายต้องมานั่งโต๊ะพูดคุยอย่างเปิดอกว่าปัญหาความขัดแย้งที่ผ่านมาเกิดจากอะไร โดยแต่ละฝ่ายต้องจริงใจยอมรับความผิดของตัวเอง เพื่อเป็นบทเรียนและป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาขึ้นอีกในอนาคต เมื่อทุกฝ่ายยอมรับความผิดของตัวเองแล้ว ผู้ที่ทำผิดต้องรับโทษตามกฎหมาย จากนั้นจึงมาถึงขั้นตอนการหารือเรื่องการออกกฎหมายเพื่อนิรโทษกรรมอันเป็นขั้นตอนสุดท้าย แต่แนวทางทั้งของ คอป.และสถาบันพระปกเกล้ามีข้อสรุปสอดคล้องกันว่า การนิรโทษกรรมจะต้องไม่ครอบคลุมถึงคดีทุจริต หรือคดีความมั่นคง หรือคดีอาญาร้ายแรง รวมทั้งคดีว่าด้วยการหมิ่นสถาบันเบื้องสูงซึ่งเป็นแนวทางที่เป็นทางออกของชาติบ้านเมือง แต่อาจไม่ตอบสนองเป้าหมายแอบแฝงของขบวนการเพื่อแม้ว

ทีมข่าวการเมือง

Leave a comment