ปรองดองโจทย์ยาก ท้าทายฝีมือรัฐบาลคสช.

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/253455

วันอาทิตย์ ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2560, 02.00 น.

การยุติความแตกแยกในชาติที่ยืดเยื้อมากว่า 10 ปีและสร้างความปรองดองเริ่มทำท่าว่าจะเป็นจริงหลังจากที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินตามกรอบการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติและการสร้างความสามัคคีปรองดอง (ป.ย.ป.) พร้อมประกาศการเปลี่ยนแปลงครั้งประวัติศาสตร์โดยมอบหมายให้พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯฝ่ายความมั่นคงรับผิดชอบวางแนวทางสร้างความปรองดองในชาติให้เป็นจริงก่อนที่จะมีการเลือกตั้งทั่วไปที่จะมีขึ้น

อย่างไรก็ตาม พล.อ.ประยุทธ์ ย้ำว่า การปรองดองจะยังไม่มีการพูดถึงเรื่องการนิรโทษกรรม และต้องยึดหลักนิติรัฐ รวมทั้งต้องไม่มีเงื่อนไข

ด้าน พล.อ.ประวิตร หลังได้รับมอบหมายจาก พล.อ.ประยุทธ์ ให้วางแนวทางสร้างความปรองดองได้เตรียมเชิญตัวแทนจากทุกฝ่ายซึ่งเป็นคู่ขัดแย้งในชาติ ตลอดจนบุคคลสำคัญซึ่งเป็นที่ยอมรับรวมทั้งการรับฟังความเห็นจากประชาชนทุกฝ่ายเพื่อนำมาประกอบการวางแนวทางสร้างความปรองดอง และที่สำคัญจะให้คู่ขัดแย้งทุกฝ่ายที่ร่วมหารือร่วมกันลงนามในบันทักข้อตกลงหรือเอ็มโอยูอันเป็นการแสดงสัญญาประชาคมต่อสาธารณชนว่าจะสร้างความปรองดอง

ขณะที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.)ซึ่งเป็นหนึ่งในแม่น้ำ 5 สายของคสช.ได้เริ่มบทบาทสอดประสานกับแผนการสร้างความปรองดองโดยล่าสุดคณะกรรมาธิการการเมืองของสนช.ที่มี นายกล้านรงค์ จันทิก เป็นประธานได้พิจารณาร่าง พ.ร.บ.การอำนวยความยุติธรรมทางอาญาเกี่ยวกับมูลเหตุจูงใจทางการเมืองซึ่งเป็นแนวทางสร้างความปรองดองเสร็จแล้วและเสนอต่อรัฐบาลพิจารณาก่อนนำเข้าสู่ที่ประชุมสนช.เห็นชอบเป็นกฎหมายต่อไป

โดยสาระสำคัญของกฎหมายฉบับนี้กำหนดให้มีคณะกรรมการอำนวยการความยุติธรรมทางอาญาที่เกี่ยวเนื่องกับมูลเหตุจูงใจทางการเมืองรวม 11 คน ซึ่งจะทำหน้าที่รวบรวมข้อเท็จจริงเหตุการณ์เกี่ยวเนื่องจากเหตุการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองตั้งแต่ปี 2548 ยุครัฐบาลทักษิณจนถึงวันที่ 22 พ.ค.2557 ซึ่งคสช.เข้ายึดอำนาจการปกครองประเทศ และทำหน้าที่กำหนดหลักเกณฑ์การอำนวยความยุติธรรมตลอดจนการเยียวยาและเสนอแนะแนวทางการอำนวยความยุติธรรมต่อคณะรัฐมนตรี รัฐสภา ศาล อัยการและองค์กรอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ที่สำคัญมีอำนาจในการเสนอความเห็นลดหย่อนโทษผู้กระทำผิดทางการเมืองต่อศาลและอัยการได้

แม้โดยเปลือกนอกตัวแทนจาก 2 พรรคใหญ่คู่ขัดแย้งคือพรรคเพื่อไทยและประชาธิปัตย์ รวมทั้งสองกลุ่มพลังมวลชนคือกลุ่มเสื้อแดงและกลุ่มมวลมหาประชาชนคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข(กปปส.)จะแสดงท่าทีขานรับวาระแห่งชาติเพื่อสร้างความปรองดอง แต่ที่ต้องจับตาเป็นพิเศษก็คือจุดยืนที่แท้จริงของขบวนการระบอบทักษิณที่ส่อเจตนาตั้งแง่ซ่อนเป้าหมายแอบแฝงต้องการให้มีการนิรโทษกรรมแบบสุดซอยโดยเฉพาะการลบล้างโทษความผิดทั้งหมดให้กับ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯนักโทษหนีคุกคดีทุจริต รวมทั้งเหล่าแกนนำคนเสื้อแดงที่เป็นผู้ต้องหาก่อการร้ายเผาบ้านทำลายเมืองเมื่อปี 2553 และอาจรวมถึงการเจรจาลับต่อรองเพื่อให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯหุ่นเชิด รอดพ้นโทษจำคุกและถูกยึดทรัพย์

การเริ่มส่งสัญญาณตั้งแง่ของขบวนการระบอบทักษิณเริ่มปรากฏให้เห็นตั้งแต่เริ่มแนวคิดสร้างความปรองดอง อาทิ นพ.เชิดชัย ตันติศิรินทร์ อดีต สส.พรรคเพื่อไทย ที่ย้ำว่า หากอำนาจรัฐจะสร้างความปรองดองจริงต้องนิรโทษกรรมความผิดให้กับทุกคนทุกคดีโดยไม่มีข้อยกเว้นไม่ว่าจะเป็นคดีอะไรหรือร้ายแรงแค่ไหน

ท่าทีของ นพ.เชิดชัย ไม่ได้ต่างจาก นายทักษิณ ในช่วงที่ผ่านที่พยายามผลักดัน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับสุดซอยยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ที่มีเป้าหมยแอบแฝงหวังลบล้างโทษความผิดให้ตัวเองกลับบ้านแบบเท่ๆ โดยไม่ต้องติดคุกคดีทุจริตตามคำพิพากษาของศาลจนเป็นชนวนให้มวลมหาประชาชนหลายล้านคนออกมาแสดงพลังต่อต้านขับไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์จนนำไปสู่การยึดอำนาจของคสช.

ขณะที่ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อดีตสส.และอดีตรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย เลขาธิการกลุ่มคนเสื้อแดง ส่อเจตนาชักสึกป่วนบ้านด้วยการตั้งแง่เรียกร้องให้องค์การสหประชาชาติเข้ามามีบทบาทในการสร้างความปรองดองโดยอ้างว่าเพื่อให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล อีกทั้งอ้างว่าคสช.ถือเป็นคู่กรณีของความขัดแย้ง

ดังนั้นการสร้างความปรองดองของรัฐบาลคสช. จึงถือเป็นโจทย์ท้าทายและถูกตั้งคำถามจากนายสุเทพ เทือกสุบรรณ และ ถาวร เสนเนียม อดีตสองแกนนำกปปส.ว่า หากการปรองดองที่เป็นแค่พิธีกรรมลงนามในเอ็มโอยูอาจจะไม่สามารถทำให้บ้านเมืองเกิดความสงบอย่างแท้จริง เพราะต้นตอวิกฤติของบ้านเมืองที่ผ่านมาไม่ได้เกิดจากความเห็นต่างทางการเมืองซึ่งเป็นปลายเหตุ แต่เกิดจากพฤติกรรมของรัฐบาลนักธุรกิจการเมืองทุนสามานย์ในคราบประชาธิปไตยจอมปลอมที่มีการทุจริตโกงชาติปล้นแผ่นดินอย่างมโหฬารและทำสารพัดสิ่งเลวร้ายซึ่งจำเป็นต้องมีการปฏิรูปอย่างจริงจังเพื่อขจัดให้หมดสิ้นไป จึงจะเป็นการแก้ปัญหาที่ต้นตอ อีกทั้งการปรองดองต้องไม่ทำลายหลักนิติรัฐโดยต้องไม่นิรโทษกรรมความผิดให้กับผู้ทำความผิดคดีทุจริต คดีความผิดตามมาตรา 112 ของประมวลกฎหมายอาญาฐานหมิ่นเบื้องสูง หรือคดีก่อการร้ายเผาบ้านทำลายเมืองเมื่อปี 2553

 

Leave a comment