ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า
http://www.naewna.com/creative/253065
วันพฤหัสบดี ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2560, 06.00 น.
นี่แค่เริ่มต้นของกระบวนการสร้างความปรองดองก็ส่อเค้าชุลมุนเละตุ้มเป๊ะเป็นมวยวัดโดยบรรดาแกนนำกลุ่มการเมืองคู่ขัดแย้งหรือแม้แต่พวกเดียวกันเองต่างออกมาแสดงวาทกรรมน้ำเน่าแบบเดิมๆขณะที่บางพวกซ่อนไต๋ซุกเป้าหมายแอบแฝง และหลายคนตั้งแง่ไม่เอาด้วยกับแนวคิดให้คู่กรณีทุกฝ่ายร่วมลงนามในเอ็มโอยูที่มี พล.อ.ประวิตรวงษ์สุวรรณ รองนายกฯฝ่ายความมั่นคงเป็นโต้โผวางแนวทางสร้างความปรองดองตามคำสั่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)
ท่าทีที่ร้อนแรงถูกจับตาเป็นพิเศษก็คือ ลุงกำนัน-สุเทพ เทือกสุบรรณ ประธานมูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย อดีตเลขาธิการคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) ที่ออกมาให้ความเห็นว่า แม้สนับสนุนแนวคิดยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศของคสช. แต่คงไม่ร่วมลงนามเอ็มโอยูเพื่อสร้างความปรองดองเพราะคงไม่เกิดประโยชน์ เนื่องจากการปรองดองจะเกิดขึ้นได้ไม่ใช่แค่พิธีกรรม แต่ต้องรณรงค์ให้ทุกคนในชาติเคารพหลักกฎหมาย จึงไม่เห็นด้วยหากจะมีการนิรโทษกรรมหรือออกกฎหมายลบล้างโทษความผิดในคดีทุจริตคอร์รัปชั่น คดีหมิ่นเบื้องสูงตามมาตรา 112 ของประมวลกฎหมายอาญา หรือคดีก่อการร้ายเผาบ้านทำลายเมืองสังหารเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหาร
นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อดีตสส.และอดีตรมต.พรรคเพื่อแม้ว เลขาธิการกลุ่มเสื้อแดง ซึ่งเป็นคู่ขัดแย้งของ กปปส. ถือโอกาสเปิดศึกถล่ม ลุงกำนันสุเทพ ว่า เลอะเลือนคิดว่าตัวเองสำคัญถึงขั้นคิดว่าตัวเองคือศูนย์กลางกำหนดเงื่อนไขการปรองดอง
ขณะที่แกนนำขบวนการเพื่อแม้วหลายคน อาทิ นายจาตุรนต์ ฉายแสง หรือ นายนพดล ปัทมะ กลับมีความเห็นคล้าย ลุงกำนันสุเทพ ที่ว่ากระบวนการสร้างความปรองดองมีมากกว่าการเซ็นเอ็มโอยู แต่ขณะเดียวกันก็ตั้งแง่แขวะดักคอคสช.โดยชี้ว่ากรรมการที่วางแนวทางสร้างความปรองดองที่อำนาจรัฐตั้งขึ้นต้องวางตัวเป็นกลาง
นี่แค่ตัวอย่างของการตั้งแง่และความปั่นป่วนวุ่นวายเพียงแค่เริ่มกระบวนการปรองดอง และเชื่อว่ายิ่งนานวัน ไต๋ของแต่ละฝ่ายโดยเฉพาะขบวนการเพื่อแม้วจะชัดเจนมากขี้นเรื่อยๆ โดยขณะนี้ขบวนการเพื่อแม้วเล่นบทตีสองหน้าโดย ด้านหนึ่งทำทีสร้างภาพหนุนการปรองดอง แต่อีกด้านหนึ่งซ่อนเป้าหมายแท้จริงที่จะงัดออกมาต่อรองนั่นก็คือการนิรโทษกรรมแบบสุดซอยเพื่อลบล้างโทษความผิดให้กับทุกคนทุกคดี ซึ่งก็คือลบล้างโทษความผิดทั้งหมดให้ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯนักโทษหนีคุก และเหล่าแกนนำเสื้อแดงที่เป็นผู้ต้องหาก่อการร้ายเผาบ้านทำลายเมือง เมื่อปี 2553 รวมทั้งเชื่อว่าอาจมีการเจรจาลับต่อรองเพื่อช่วยอดีตสองนายกฯหุ่นเชิดตระกูลชินให้พ้นผิด คือ น.ส.ยิ่งลักษณ์ชินวัตร ในคดีโครงการรับจำนำข้าวที่มีการโกงชาติปล้นแผ่นดินมโหฬารและสร้างความเสียหายแก่ประเทศครั้งเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ และ นายสมชายวงศ์สวัสดิ์ ในคดีสั่งสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเมื่อปี 2551
เพราะฉะนั้นวาระแห่งชาติสร้างความปรองดองในชาติที่เหมือนจับปลาใส่กระด้งครั้งนี้จะเป็นโจทย์ยากที่ท้าทายพิสูจน์ฝีมือและเครดิตของรัฐบาลคสช. โดยเฉพาะ พล.อ.ประวิตร ที่รับหน้าเสื่อเป็นโต้โผใหญ่รับผิดชอบการวางแนวทางสร้างความปรองดองทั้งหมด
แม้หลายฝ่ายจะสนับสนุนแนวทางสร้างความปรองดองเพราะดีกว่าไม่ทำอะไรเลยแต่ก็เห็นว่า การปรองดองต้องไม่ทำลายหลักนิติรัฐ โดยผู้กระทำผิดควรพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเองและถูกลงโทษตามกระบวนการยุติธรรม โดยเฉพาะคดีเกี่ยวกับการทุจริต คดีหมิ่นเบื้องสูง และคดีอาญาร้ายแรง
ทั้งนี้การปรองดองต้องไม่ใช่การยื่นหมูยื่นแมวเจรจาต่อรองกับโจรเพื่อลบล้างโทษความผิด ซึ่งหากเป็นอย่างนั้นเท่ากับทำลายความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมาย หลักนิติรัฐและกระบวนการยุติธรรมอย่างสิ้นเชิง
และหากจะพูดถึงเรื่องความปรองดอง ความจริงแล้วประชาชนทั้งประเทศแม้จะมีความเห็นที่แตกต่างแต่ก็ไม่ได้แตกแยกรุนแรงหรือเป็นต้นตอของวิกฤติทำลายชาติในช่วงที่ผ่านมา และโดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังการเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในพระบรมโกศได้สร้างคุณูปการอันใหญ่หลวงต่อชาติบ้านเมืองโดยทำให้คนไทยมีความรักสามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดียวมากขึ้นเพื่อสนองพระปณิธานของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชในพระบรมโกศ ดังนั้นประชาชนส่วนใหญ่จึงไม่ได้มีปัญหาที่จะต้องสร้างความปรองดอง
แต่ปัญหาความแตกแยกในชาติที่ผ่านมาล้วนเกิดจากนักธุรกิจการเมืองเพียงหยิบมือเดียวที่เป็นต้นเหตุตัวการบงการชักใยสุมไฟแตกแยกในชาติจนลุกลามบานปลายกลายเป็นวิกฤติสร้างความบอบช้ำอย่างหนักให้ประเทศตลอดช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมา ด้วยพฤติการณ์ของขบวนการธุรกิจการเมืองเผด็จการเสียงข้างมากในคราบประชาธิปไตยจอมปลอมที่ใช้เงินและผลประโยชน์ทุกรูปแบบซื้อพวก ซื้อ สส. ซื้อเสียง ซื้อประชาธิปไตย และซื้ออำนาจรัฐ จากนั้นใช้อำนาจรัฐโกงชาติปล้นแผ่นดินถอนทุนคืนบวกกำไรมหาศาลและใช้อำนาจรัฐซื้อเสียงทางอ้อมเพื่อผูกขาดอำนาจในระยะยาว ซึ่งขบวนการธุรกิจการเมืองเพียงหยิบมือเดียวที่บ่อนทำลายชาติพวกนี้สมควรได้รับการลงโทษอย่างสาสมมากกว่าที่จะมาต่อรองลบล้างโทษความผิดของตัวเองโดยอ้างการสร้างความปรองดองบังหน้า อีกทั้งอำนาจรัฐคสช.ควรเอาเวลามุ่งแก้ปัญหาด้านอื่นๆของชาติบ้านเมืองและความเดือดร้อนของประชาชนดีกว่ามาเสียเวลากับพวกที่เคยทำลายชาติซึ่งเป็นคนแค่หยิบมือเดียว
ทีมข่าวการเมือง
