ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า
http://www.naewna.com/creative/251133
วันพฤหัสบดี ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2560, 06.00 น.
ช่วงนี้มีความเคลื่อนไหว 3 เรื่องที่น่าสนใจคือ หนึ่ง กรณีที่ พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกรัฐบาลออกมาแถลงว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)ยืนยันโรดแมปเลือกตั้งในปี 2560 นี้ สอง สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ(สปท.)มีแนวคิดผลักดันกฎหมายนิรโทษกรรมความผิดแก่ประชาชนทุกสีที่ถูกดำเนินคดีจากการชุมนุมทางการเมืองช่วงที่ผ่านมาเพื่อสร้างความปรองดองในชาติ และสามกรณี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯหุ่นเชิด ออกมาโวยว่าถูกเจ้าหน้าที่ทั้งตำรวจและฝ่ายปกครองนอกเครื่องแบบตามประกบจับตาถูกฝีก้าวทั้งๆที่ตัวเองแค่พาครอบครัวไปพักผ่อนต่างจังหวัด
เรื่องแรก กรณีที่เหล่านักลากตั้งโดยเฉพาะพรรคเพื่อแม้วดาหน้าออกมาโวยวายค้านหัวชนฝาต่อสัญญาณท่าทีของ นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ที่ชี้ว่าอาจจำเป็นต้องยืดโรดแมปเลือกตั้งออกไปเนื่องจากสนช.ต้องพิจารณาพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญหลายฉบับรวมทั้งกฎหมายต่างๆที่ยังคั่งค้างอยู่จำนวนมาก ซึ่งต้องใช้เวลาประมาณ 15 เดือน ฉะนั้นคาดว่าน่าจะมีการเลือกตั้งได้ในราวกลางปีหน้า
แต่ล่าสุดเมื่อ พล.ท.สรรเสริญ ออกมาแถลงจุดยืนของผู้นำรัฏฐาธิปัตย์แล้วว่า ยังยืนยันโรดแมปที่จะมีการเลือกตั้งในปี 2560 นี้ เพราะฉะนั้นประเด็นร้อนนี้จึงน่าจะจบและคงไม่มีเงื่อนไขอะไรให้ขบวนการเพื่อแม้วใช้เป็นข้ออ้างตีรวนป่วนประเทศอีก อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าถึงอย่างไรขบวนการเพื่อแม้ว ซึ่งอยู่ในสภาพหลังพิงฝาไม่มีอะไรจะเสียก็คงไม่เลิกหาเรื่องจ้องบ่อนทำลายคสช.และรัฐบาลไปเรื่อยๆจนกว่าจะมีการเลือกตั้งซึ่งเป็นโอกาสเดียวที่ระบอบแม้วจะกลับมามีอำนาจยึดครองประเทศอีกครั้ง โดยเหล่าแกนนำสาวกเพื่อแม้วทั้งหลายคงจะดาหน้าออกมาสร้างเรื่องใช้วาทกรรมน้ำเน่าไร้สาระโจมตีแบบรายวันเพื่อชิงพื้นที่ข่าวและทำลายภาพพจน์ความชอบธรรมของอำนาจรัฐ
ส่วนเรื่องที่สองคือการจุดพลุกฎหมายนิรโทษกรรมของ สปท.นั้นคงต้องจับตาดูต่อไปโดยมีข้อน่าสังเกตว่า คนที่ออกมาเปิดประเด็นเรื่องนี้คือ นายสุชน ชาลีเครือ ซึ่งเป็นกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านการเมืองของสปท. โดย นายสุชน คอการเมืองคงรู้ว่าเป็นคนของขบวนการเพื่อแม้วมานาน โดย นายสุชน อ้างว่าคณะกรรมาธิการได้ข้อสรุปหลักเกณฑ์การสร้างความปรองดองเพื่อเสนอต่อหัวหน้าคสช.ให้ใช้อำนาจตามมาตรา 44 นิรโทษกรรมแก่ประชาชนที่มาชุมนุมทางการเมืองทุกกลุ่มในช่วงที่ผ่านมา แต่ นายเสรี สุวรรณภานนท์ ประธานคณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านการเมือง สปท. กลับดักคอเกมลักไก่ของ นายสุชน โดยกล่าวว่า เป็นเพียงความเห็นส่วนตัวของ นายสุชน ไม่ใช่ความเห็นของคณะกรรมาธิการ
ทั้งนี้เรื่องการนิรโทษกรรมเป็นเรื่องอ่อนไหวและเคยเป็นบทเรียนจุดชนวนระเบิดเวลาทางการเมืองลูกใหญ่มาแล้วในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ที่พยายามผลักดัน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับสุดซอยโดยอ้างการสร้างความปรองดองบังหน้า แต่มีเป้าหมายแอบแฝงมุ่งลบล้างความผิดให้กับ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯนักโทษหนีคุกคดีทุจริต ผู้เป็นพี่ชาย น.ส.ยิ่งลักษณ์ เพื่อจะได้กลับบ้านแบบเท่ๆ โดยไม่ต้องรับโทษตามคำพิพากษของศาล จนเป็นชนวนให้มวลมหาประชาชนหลายล้านคนออกมาแสดงพลังต่อต้านจนนำไปสู่การยึดอำนาจของคสช.ในที่สุด
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่า คสช.คงไม่หาเรื่องใส่ตัวด้วยการใช้อำนาจตามมาตรา 44 จุดชนวนระเบิดเวลาลูกใหญ่ฆ่าตัวตายตามแผนขบวนการเพื่อแม้ว แต่เป็นไปได้ที่จะมีการผลักดันกฎหมายนิรโทษกรรมเฉพาะประชาชนทุกสีทุกกลุ่มที่มาร่วมชุมนุมทางการเมืองในช่วงที่ผ่านมาเพื่อสร้างบรรยากาศแห่งความปรองดอง แต่จะไม่ครอบคลุมถึงแกนนำที่ปลุกระดมจนเกิดวิกฤติความรุนแรง รวมทั้งผู้ต้องหาคดีร้ายแรงเกี่ยวกับความมั่นคง คดีทุจริตหรือผู้ต้องหาที่ทำความผิดฐานหมิ่นเบื้องสูงตามมาตรา 112 ของประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งหากเป็นการนิรโทษกรรมในลักษณะนี้คงไม่มีปัญหาและสอดคล้องกับผลการศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดองก่อนหน้านี้ของสถาบันพระปกเกล้าและคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ(คอป.)ที่มี ดร.คณิต ณ นคร เป็นประธาน แต่ผลการศึกษาของ คอป.และสถาบันพระปกเกล้าถูกรัฐบาลยิ่งลักษณ์ทิ้งลงตะกร้าเพราะไม่ตอบสนองความต้องการของ นักโทษชายแม้ว ที่ต้องการลบล้างโทษความผิดให้ตัวเอง
สำหรับเรื่องที่สาม กรณี น.ส.ยิ่งลักษณ์ โวยวายถูกเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบตามประกบขณะพาครอบครัวไปเที่ยวที่ อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน ถือเป็นการแสดงอาการเหมือนร้อนตัวเลยหงุดหงิด ซึ่งปกติคนที่คิดและทำแต่เรื่องดีๆ มีความบริสุทธิ์ใจจิตใจย่อมผ่องแผ้วไม่กลัวผลกรรมใดๆ จะตามเช็คบิล อย่าว่าแต่กลัวการถูกตามประกบ แต่ที่สำคัญ น.ส.ยิ่งลักษณ์คงลืมไปแล้วว่า ตัวเองเป็นจำเลยคนสำคัญคดีโครงการรับจำนำข้าว ซึ่งเป็นคดีใหญ่ครั้งประวัติศาสตร์ โดย น.ส.ยิ่งลักษณ์ และพวกถูกดำเนินคดีทั้งทางอาญาและทางแพ่งเพื่อให้ชดใช้ค่าเสียหายแก่แผ่นดิน โดยก่อนหน้านี้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเคยมีคำสั่งห้าม น.ส.ยิ่งลักษณ์ และพวกออกนอกประเทศ
ในทางอาญาหาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ถูกศาลตัดสินว่าผิดจริงมีโทษสูงสุดจำคุกถึง 10 ปี ส่วนทางแพ่ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ถูกฟ้องให้ชดใช้ความเสียหายแก่แผ่นดินมูลค่ากว่า 3 หมื่นล้านบาท
ดังนั้นการที่เจ้าหน้าที่ตามประกบ น.ส.ยิ่งลักษณ์จึงถือเป็นการทำตามหน้าที่เพื่อป้องกันผู้ต้องหาคนสำคัญหลบหนี อีกคดีโครงการรับจำนำข้าวเป็นคดีใหญ่ระดับชาติที่สังคมเฝ้าจับตามองและอยากให้เป็นคดีตัวอย่างที่สร้างบรรทัดฐานให้เห็นว่า
นักการเมืองผู้มีอำนาจไม่ว่าใหญ่แค่ไหนหากทำผิดก็ต้องถูกลงโทษเช่นเดียวกับชาวบ้านตาสีตาสาเพราะทุกคนล้วนต้องอยู่ภายใต้กฎหมายฉบับเดียวกันอย่างเท่าเทียม อีกทั้งในอดีตมีตัวอย่างผู้ต้องหาคนสำคัญหนีโทษความผิดมาแล้วนั่นคือนักโทษชายแม้วที่บินหนีคุกออกไปเสพสุขอยู่นอกประเทศอย่างลอยนวลจนทุกวันนี้
ทีมข่าวการเมือง
