ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า
http://www.naewna.com/creative/252578
วันจันทร์ ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2560, 06.00 น.
ขณะที่อำนาจรัฐยุคคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)พยายามเดินหน้าสร้างประวัติศาสตร์ยุติความแตกแยกในชาติที่ยืดเยื้อมากว่า 10 ปี และสร้างความปรองดองในชาติ เพื่อให้ประเทศเดินหน้าปฏิรูปให้พ้นจากวังวนของวงจรอุบาทว์อันชั่วร้ายอย่างยั่งยืน แต่ดูเหมือนว่าขบวนการเพื่อแม้วจะยังยืนยันจุดยืนของตัวเองไม่เปลี่ยนแปลงด้วยการตั้งแง่ว่า หากคิดจะปรองดองต้องทำแบบสุดซอย
ความคืบหน้าหลังจากที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคสช. ประกาศเรื่องการสร้างความปรองดองเป็นยุทธศาสตร์ชาติที่ต้องทำให้สำเร็จก่อนการเลือกตั้งหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินตามกรอบการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติและการสร้างความสามัคคีปรองดอง(ป.ย.ป.)ที่ทำเนียบรัฐบาลเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ล่าสุด นายพีระศักดิ์ พอจิต รองประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เปิดเผยว่า เท่าที่ได้พูดคุยกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ
รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง ซึ่งได้รับมอบหมายจาก พล.อ.ประยุทธ์ ให้รับผิดชอบวางแนวทางการสร้างความปรองดองทราบว่า พล.อ.ประวิตร มีแนวคิดเบื้องต้นว่า เร็วๆ นี้จะเชิญทุกฝ่ายทุกพรรคคู่ขัดแย้งมาพูดคุยเพื่อหาทางออกขจัดเงื่อนไขแห่งความขัดแย้ง จากนั้นจะทำข้อตกลงเอ็มโอยูเพื่อยุติความขัดแย้งและเดินหน้าไปสู่การปรองดองก่อนการเลือกตั้งให้ได้ โดยข้อตกลงจะไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องกฎหมาย แต่จะทำให้สังคมได้รับรู้อย่างเปิดเผย
ก่อนหน้านี้คณะกรรมาธิการด้านการเมืองของ สนช.ที่มี นายกล้านรงค์ จันทิก เป็นประธานได้พิจารณาร่าง พ.ร.บ.อำนวยการความยุติธรรมทางอาญาเกี่ยวกับมูลเหตุจูงใจทางการเมืองซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งในแนวทางสร้างความปรองดองที่พิจารณาเสร็จแล้วและมีข่าวว่าขณะนี้ร่างกฎหมายฉบับนี้ได้เสนอต่อรัฐบาลไปแล้ว หากรัฐบาลเห็นชอบก็จะเสนอกลับมายังสนช.เพื่อลงมติผ่านเป็นกฎหมายมีผลบังคับใช้ต่อไป
สาระสำคัญของ พ.ร.บ.อำนวยการความยุติธรรมทางอาญาเกี่ยวกับมูลเหตุจูงใจทางการเมืองกำหนดให้มีคณะกรรมการอำนวยการความยุติธรรมทางอาญาที่เกี่ยวเนื่องกับมูลเหตุจูงใจทางการเมืองจำนวน 11 คนจากตัวแทนคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ คณะกรรมการตุลาการศาลปกครอง คณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม คณะกรรมการอัยการ ผู้ตรวจการแผ่นดิน สถาบันพระปกเกล้า กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ สภาทนายความ และที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย
คณะกรรมการทั้ง 11 คนจะมีหน้าที่รวบรวมข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ที่เกี่ยวเนื่องจากเหตุการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองตั้งแต่ปี 2548 ถึงวันที่ 22 พ.ค.2557 อันเป็นวันที่คสช.เข้ายึดอำนาจการปกครองประเทศและกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการอำนวยความยุติธรรมตลอดจนการเยียวยาและเสนอแนะแนวทางความเห็นในการอำนวยความยุติธรรมต่อคณะรัฐมนตรี รัฐสภา ศาล องค์กรอัยการและองค์กรอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
ที่สำคัญคณะกรรมการทั้ง 11 คนมีอำนาจจำแนกคดีอาญาที่มีมูลเหตุจูงใจทางการเมืองแล้วส่งความเห็นลดหย่อนโทษต่อศาลและอัยการได้ อย่างไรก็ตาม การอำนวยความยุติธรรมทางอาญาจะไม่ครอบคลุมผู้ต้องหาคดีทุจริต คดีความผิดตามมาตรา 112 ของประมวลกฎหมายอาญาฐานหมิ่นเบื้องสูง หรือคดีอาญาร้ายแรงเกี่ยวกับความมั่นคง
จากแนวทางสร้างความปรองดองตามสูตรของคสช.และรัฐบาล ปรากฏว่ามีท่าทีแบไต๋การปรองดองอย่างมีเงื่อนไขจากอดีตสส.พรรคเพื่อแม้วคือ นพ.เชิดชัย ตันติศิรินทร์ ที่ส่งสัญญาณว่าที่ผ่านมาอำนาจรัฐคสช.ยังไม่ได้แสดงท่าทีปรองดองอย่างจริงจัง หากจะปรองดองจริงจะกล้าทำหรือไม่ หากรัฐบาลจะทำอะไรก็ให้รีบทำเรื่องจะได้จบๆ ขณะนี้พูดเรื่องการปรองดองเหมือนเขาวงกต ต้องเดินออกจากเขาวงกตซะบ้างบ้านเมืองจะได้ก้าวข้ามความขัดแย้ง
“แต่การที่จะมาสร้างเงื่อนไขการปรองดองเหมือนที่นายเสรี สุวรรณภานนท์ ประธานคณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านการเมือง สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ(สปท.)เสนอให้การนิรโทษกรรมไม่ครอบคลุมคดีทุจริต คดีหมิ่นเบื้องสูง และคดีอาญาร้ายแรงมันไม่ถูกต้อง เพราะหากคิดจะปรองดองจริงต้องไม่มีเงื่อนไข โดยเฉพาะคดีอาญาไม่ว่าคดีรุนแรงแค่ไหนต้องให้ทั้งหมดเพื่อความปรองดอง”
ท่าทีของ นพ.เชิดชัย คงไม่ต่างจากเหล่าขบวนการเพื่อแม้วทั้งหลาย รวมทั้งจุดยืนของนักโทษชายแม้ว อดีตนายกฯนักโทษหนีคุก ที่ก่อนหน้านี้เคยย้ำหลายครั้งว่าหากจะปรองดองต้องนับหนึ่งใหม่ทั้งหมด และจุดยืนที่ชัดเจนของ นักโทษชายแม้ว ชัดเจนในการบงการอยู่เบื้องหลังร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับสุดซอยในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ โดยมีเป้าหมายแอบแฝงมุ่งลบล้างโทษความผิดคดีทุจริตให้ตัวเองเพื่อกลับบ้านแบบเท่ๆ และกลับมายิ่งใหญ่โดยไม่ต้องติดคุกตามคำพิพากษาของศาล ซึ่งพ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับสุดซอยนี่เองกลายเป็นชนวนให้มวลมหาประชาชนหลายล้านคนออกมาแสดงพลังต่อต้านครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์จนเกิดการนองเลือดและประเทศกลายเป็นรัฐล้มเหลวสิ้นเชิงทำให้คสช.ต้องตัดสินใจเข้ามายึดอำนาจการปกครองประเทศ
การที่สาวกขบวนการเพื่อแม้วแบไต๋ว่าหากจะปรองดองต้องนิรโทษกรรมผู้กระทำผิดทุกคดีอย่างไม่มีเงื่อนไขสะท้อนให้เห็นธาตุแท้ขบวนการเพื่อแม้วที่ยึดหลักกูเป็นที่ตั้ง เพราะขณะที่เรียกร้องว่าการปรองดองต้องไม่มีเงื่อนไข แต่ตัวเองกลับส่งสัญญาณตั้งแง่ในทำนองว่าหากปรองดองต้องมีการนิรโทษแบบสุดซอยซึ่งน่าจะรวมทั้งนักโทษชายแม้ว น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ
หุ่นเชิดซึ่งเป็นจำเลยคนสำคัญคดีโครงการรับจำนำข้าวสุดอื้อฉาวที่สร้างความย่อยยับให้ประเทศครั้งเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ รวมทั้งแกนนำขบวนการใต้ดินที่เคยก่อการร้ายเผาบ้านทำลายเมือง
ทีมข่าวการเมือง
