ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า
http://www.naewna.com/creative/253842
วันพุธ ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2560, 02.00 น.
หลายฝ่ายในแม่น้ำ 5 สาย ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)พยายามที่จะหาแนวทางสร้างความปรองดองในชาติให้สำเร็จเสียที โดยล่าสุดคณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษารวบรวมความคิดเห็นวิเคราะห์และสังเคราะห์ประเด็นการแก้ปัญหาความขัดแย้งและการสร้างความปรองดองทางการเมืองในคณะกรรมาธิการการเมือง สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ(สปท.)ที่มี ดร.สังศิต พิริยะรังสรรค์ เป็นประธานคณะอนุกรรมาธิการมีกรอบแนวคิดที่จะใช้แนวนโยบายการเมืองนำการทหารภายใต้คำสั่ง 66/2523 และ 66/2525 ของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ซึ่งเคยประสบความสำเร็จในการยุติสงครามระหว่างพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย(พคท.) กับรัฐที่ยืดเยื้อมายาวนานได้สำเร็จ
คณะอนุกรรมาธิการวางกรอบแนวคิดไว้ดังนี้คือ จะคำนึงถึงเรื่องความสามัคคี สันติสุขของคนในชาติและสังคมเป็นที่ตั้ง ยึดหลักเมตตาธรรมยุติความเคียดแค้นชิงชังโดยการให้อภัยกัน ยึดหลักนิติรัฐและนิติธรรม และต้องใช้กฎหมายและปฏิบัติกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องอย่างเท่าเทียมโดยไม่เลือกปฏิบัติ
นอกจากนี้ จะมีการนำผลสรุปการศึกษาแนวทางสร้างความปรองดองในอดีตของคณะกรรมการ 9 ชุดมาประกอบการพิจารณาด้วย อาทิ คณะกรรมการชุดของ ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ คณะกรรมการชุดที่มี ดร.คณิต ณ นคร เป็นประธาน คณะกรรมการชุดสถาบันพระปกเกล้าที่มี ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ เป็นประธาน คณะกรรมการชุด ที่มี พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน เป็นประธาน
หากย้อนกลับไปทบทวนเหตุการณ์ยุคสงครามจากผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์(ผกค.)เมื่อหลายสิบปีที่แล้ว และมีนักศึกษาปัญญาชนจำนวนมากเข้าร่วมกับผกค.ทำสงครามกับอำนาจรัฐด้วยกำลังอาวุธ มีสาเหตุสำคัญมาจากอุดมการณ์ทางการเมือง โดยสภาพของบ้านเมืองขณะนั้นปกครองด้วยอำนาจเผด็จการทหารที่เข้มข้น ขณะที่มีปัญหาช่องว่างความเหลื่อมล้ำทางสังคมที่รุนแรงมาก ด้วยเหตุนี้นโยบายการเมืองนำการทหาร หรือที่เรียกว่า“ป๋าเปรมโมเดล” ที่ใช้ในการเอาชนะ พคท. จะพบว่า มีสาระสำคัญอยู่ที่การลดอำนาจเผด็จการและสร้างประชาธิปไตยที่ประชาชนมีส่วนร่วมมากขึ้น รวมทั้งลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม พร้อมกับเปิดทางให้บรรดาผกค.ผู้หลงผิดกลับมามอบตัวซึ่งจะได้รับการนิรโทษกรรมเพื่อร่วมพัฒนาชาติไทย โดยรัฐจะจัดหาอาชีพและให้การช่วยเหลือบรรดาผู้กลับใจให้สามารถเลี้ยงตัวเองอยู่ได้ในสังคมอย่างผาสุก
สาระสำคัญของ “ป๋าเปรมโมเดล” จึงให้โอกาสกับผู้มีความเห็นต่างในอุดมการณ์ทางการเมืองที่สำนึกผิดพร้อมกลับมาร่วมพัฒนาชาติไทย โดยไม่เกี่ยวข้องกับผู้กระทำผิดในคดีทุจริตหรือคดีหมิ่นสถาบันเบื้องสูง หรือทำผิดอาญาร้ายแรงถึงขั้นก่อการร้ายเผาบ้านทำลายเมือง บริบทที่มาที่ไปและเหตุผลจึงแตกต่างกับแนวทางการสร้างความปรองดองในปัจจุบัน
อีกทั้งเงื่อนไขหนึ่งสำหรับผู้หลงผิดที่กลับใจกลับมาเป็นผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยก็คือ ต้องสำนึกผิดเข้ามอบตัวต่อทางการ ซึ่งไม่ได้หมายความว่าเมื่อเข้ามอบตัวแล้วจะพ้นผิดโดยปริยาย แต่จะมีการลงโทษตามความเหมาะสม จากนั้นจึงมีการนิรโทษกรรมในภายหลัง
นอกจากนี้ผลการศึกษาคณะกรรมการศึกษาหาแนวทางสร้างความปรองดองเกือบทุกชุดที่ผ่านมาล้วนมีความเห็นสอดคล้องกันว่า การจะสร้างความปรองดองต้องเริ่มจากตัวแทนคู่ขัดแย้งทุกฝ่ายต้องมาเปิดอกพูดถึงปัญหาที่ผ่านมา อย่างตรงไปตรงมาเพื่อเป็นบทเรียนไม่ให้เกิดปัญหาขึ้นอีกในอนาคต และผู้ที่ทำผิดกฎหมายชัดเจนต้องยอมรับโทษความผิดจากนั้นจึงค่อยมาพิจารณาเรื่องการผ่อนผันบรรเทาโทษหรือนิรโทษกรรมซึ่งเป็นขั้นตอนท้ายสุด
ที่สำคัญผลการศึกษาของคณะกรรมการทุกชุดที่ผ่านมาย้ำว่า การนิรโทษกรรมความผิดหากจะมีขึ้นจะต้องไม่ครอบคลุมคดีทุจริต คดีหมิ่นสถาบันเบื้องสูงตามมาตรา 112 ของประมวลกฎหมายอาญา และคดีอาญาร้ายแรงอันจะเป็นการทำลายหลักนิติรัฐ
ผลการศึกษาของคณะกรรมการชุดต่างๆในอดีตยังสอดคล้องกับจุดยืนท่าทีของรัฐบาลคสช.โดยที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคสช. พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง ซึ่งได้รับมอบหมายให้วางแนวทางสร้างความปรองดอง และล่าสุด ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รมต.ประจำสำนักนายกฯ ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินตามกรอบการปฏิรูป ยุทธศาสตร์ชาติและการสร้างความสามัคคีปรองดอง (ป.ย.ป.)ส่งสัญญาณชัดเจนว่า การสร้างความปรองดองต้องไม่มีเงื่อนไขและจะไม่มีการพูดถึงเรื่องการทำผิดกฎหมายหรือการนิรโทษกรรม
ทั้งนี้ฝ่ายที่จริงใจอยากปรองดองต้องมาด้วยใจที่อยากเห็นบ้านเมืองเกิดความสงบสุขสันติและเดินไปข้างหน้าเสียทีหลังบอบช้ำ
มานานกว่า 10 ปี ไม่ใช่มาอาศัยเวทีการสร้างความปรองดองเป็นเครื่องมือตั้งแง่ สร้างเงื่อนไขต่อรอง โดยมีวาระซ่อนเร้นเพื่อให้อดีตนายกฯนักโทษหนีคุกคดีทุจริตตามคำพิพากษาของศาล บางคนได้ลบล้างโทษความผิดเพื่อจะได้กลับบ้านแบบเท่ๆ โดยไม่ต้องติดคุก รวมทั้งลบล้างโทษความผิดให้พวกก่อการร้ายเผาบ้านทำลายเมือง หรืออาจรวมถึงคดีทุจริตสำคัญที่อยู่ในขั้นตอนการพิสูจน์ความถูกผิดตามกระบวนการยุติธรรมอันเป็นการทำลายหลักนิติรัฐ
หากการปรองดองกลายเป็นเครื่องมือต่อรองโดยมีวาระซ่อนเร้นและเป็นการทำลายหลักนิติรัฐ การปรองดองอย่างที่ว่าก็คงเสียของไร้ประโยชน์สิ้นเชิง เพราะเป็นการปรองดองด้วยการฮั้วผลประโยชน์กับโจรปล้นทำลายชาติ ซึ่งเป็นแค่การหนีปัญหาซื้อเวลาเท่านั้น
ทีมข่าวการเมือง
