ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 20 ก.ค. 2559 05:01
อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/667321

กรมชลประทานเผยสถานการณ์น้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และขนาดกลางทั้งประเทศ เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2559 ระบุว่า มีปริมาณน้ำในอ่างขณะนี้ 32,565 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) จากความจุของปริมาณน้ำในอ่างทั่วประเทศรวมกัน 70,418 ล้าน ลบ.ม.
ปริมาณน้ำที่ว่านี้…มีน้ำที่ใช้ได้จริง 8,844 ล้าน ลบ.ม.คิดเป็น 17% ซึ่งยังสามารถรับน้ำได้อีก 42,290 ล้าน ลบ.ม.
ขณะที่ปริมาณน้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา 4 เขื่อนหลัก…เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ มีปริมาณน้ำในอ่างรวมกันอยู่เพียง 8,027 ล้าน ลบ.ม. แต่ใช้ได้จริงเพียง 1,331 ล้าน ลบ.ม.เท่านั้น ปริมาณน้ำระบายอยู่ที่ 18.21 ล้าน ลบ.ม. ซึ่งยังสามารถรับน้ำได้อีก 16,844 ล้าน ลบ.ม.
เหลียวมองตัวเลข “อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่” ยังอยู่ในเกณฑ์น้อยกว่าหรือเท่ากับร้อยละ 30 ของความจุอ่างจำนวน 22 อ่าง ไล่เรียงไปตั้งแต่ อ่างภูมิพล อ่างแม่งัด อ่างแม่กวง อ่างกิ่วลม อ่างแควน้อย อ่างลำพระเพลิง อ่างป่าสักชลสิทธิ์ สะท้อนให้เห็นว่า…สถานการณ์น้ำยังไม่อยู่ในสถานการณ์ที่นิ่งนอนใจได้
คำถามสำคัญมีว่า…กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ผู้รับผิดชอบนโยบายหลักจะมีแผนรับมือในยามนี้ได้อย่างไร เพื่อเตรียมพร้อม “แล้งนี้…สู่แล้งหน้า” ให้ราบรื่นตลอดรอดฝั่ง
สุ้มเสียงแบ่งรับแบ่งสู้ พลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ บอกว่า แม้ขณะนี้จะเข้าสู่หน้าฝนแต่ข้อมูลยังเผยให้เห็นถึงจังหวัดที่ประกาศเขตให้ความช่วยเหลือภัยแล้งหลงเหลืออยู่อีกหลายจังหวัด…ประกอบด้วย 6 จังหวัด 38 อำเภอ
“กระทรวงเกษตรฯไม่นิ่งนอนใจ” พลเอกฉัตรชัย ยืนยัน “แม้ปีนี้ภัยแล้งจะบรรเทาลงแล้ว แต่ก็ยังเฝ้าระวังพร้อมกับเดินหน้าในการเตรียมรับมือวิกฤติภัยแล้งในปีหน้าเอาไว้อย่างเสร็จสรรพ”
เน้นสร้างความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณน้ำฝน ปริมาณการกักเก็บน้ำ และปริมาณการใช้น้ำให้สมดุล…สู่แนวทางการบริหารน้ำอย่างยั่งยืน
ปัจจุบันประเทศไทยมีพื้นที่ทำการเกษตร 149.2 ล้านไร่ ในขณะที่ ตัวเลขในการพัฒนาพื้นที่ชลประทานทั่วประเทศมีจำนวน 30.22 ล้านไร่ คิดเป็น 20 เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่การเกษตรทั้งหมด
ปัญหามีว่า…ที่เหลืออีก 120 ล้านไร่ หรือกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ เป็นพื้นที่ปลูกพืชโดยใช้ “น้ำฝน” เป็นหลักซึ่งมีความเสี่ยงต่อการขาดแคลนน้ำ เนื่องจากความผันแปรของสภาพ ลม ฟ้า อากาศ
สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญในการเก็บกักน้ำในช่วงหน้าฝนของแต่ละเขื่อน เพื่อเป็น “น้ำต้นทุน” จะบริหารจัดการน้ำในฤดูฝนอย่างไรให้มีการเก็บกักน้ำของแหล่งน้ำให้มากที่สุดในปลายฤดูฝน
ต้องยอมรับว่าในอดีต “แผนการบริหารจัดการน้ำของประเทศ” ไม่มีความชัดเจน หลังยุค คสช. ได้มาดูระบบบริหารจัดการน้ำ ใช้เวลา 9 เดือนวางแผนน้ำต่อเนื่องล่วงหน้า 10 ปี ที่จะนำไปสู่การปฏิบัติ
บันทึกช่วยจำ…เสมือนสัญญาที่ไม่ใช่เพียงลมปาก พุ่งเป้าไปที่แผนปฏิบัติการเบื้องต้นพื้นที่ชลประทานทั่วประเทศ ต้องสามารถใช้น้ำได้ทั้งปี ส่วนพื้นที่นอกเขตชลประทานต้องวางแผนทำแบบสำรวจความต้องการและความเหมาะสม หากจำเป็นจะต้องปรับเปลี่ยนปลูกพืชเกษตรไปส่งเสริมให้เลี้ยงสัตว์แทน
ฉายภาพ…สถานการณ์การเพาะปลูกนาปีทั่วประเทศขณะนี้ มีการเพาะปลูกแล้วกว่า 1.47 ล้านไร่ โดยเฉพาะในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยามีการเพาะปลูกนาปีไปแล้วราว 551,430 ไร่ และในพื้นที่ลุ่มน้ำแม่กลองมีการเพาะปลูกนาปีไปแล้วกว่า 2.36 หมื่นไร่
แน่นอนว่ากรมชลประทานจะต้องควบคุมน้ำท่าให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด ส่งน้ำเข้าระบบชลประทานไปยังพื้นที่การเกษตรได้อย่างทั่วถึง ที่สำคัญ…ทุกโครงการชลประทานทั่วประเทศต้องเก็บกักน้ำให้ได้มากที่สุด ให้สอดคล้องกับปริมาณฝนที่ตกลงมา แต่ต้องไม่กระทบต่อพื้นที่ด้านท้ายเขื่อน
ดร.ทองเปลว กองจันทร์ รองอธิบดีฝ่ายบำรุงรักษา กรมชลประทาน ให้ข้อมูลว่า แม้ขณะนี้ฝนจะตกหนักแต่ก็ตกอยู่ใต้เขื่อน ทำให้หลายฝ่ายกังวล กรมฯจึงเร่งประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้อง
ทั้งกรมอุตุนิยมวิทยา กรมทรัพยากรน้ำ…เพื่อหาแนวทางในการบริหารจัดการน้ำในเขื่อนหลัก ทำอย่างไรจะเก็บน้ำให้ได้จำนวนมากที่สุด เพราะปีนี้เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว…
น้ำใน 4 เขื่อนหลักที่ใช้ได้มีน้อยกว่า เฉลี่ยแล้วปริมาณต่างกัน เกือบร้อยละ 50
“ถึงกรกฎาคมจะเก็บน้ำเข้าเขื่อนให้มากที่สุด คาดว่า…เมื่อสิ้นฤดูฝนจะมีปริมาณน้ำใช้การได้ใน 4 เขื่อนหลัก…เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ รวมกัน 7,000 ล้าน ลบ.ม. ถึงจะอุ่นใจได้ แต่ถ้าให้สบายใจเลยก็ต้องบริหารจัดการให้ได้ 9,000 ล้าน ลบ.ม. ถึงจะเพียงพอ”
ในการบริหารจัดการน้ำให้เกิดประสิทธิภาพนั้น ใช่เพียงแต่มีอ่างเท่านั้นแต่ยังสามารถใช้ประตูระบายน้ำ การขุดลอกแหล่งน้ำ รวมทั้งการใช้เครื่องอาคารชลประทานช่วยยกระดับน้ำแม่น้ำเข้าไปในคลอง…
หากฝนตกใต้เขื่อนก็มีแผนรองรับไว้หลายมาตรการ เช่น การขุดสระ การสร้างบ่อแก้มลิง บ่อน้ำ การสร้างประตูระบายน้ำ เร่งพัฒนาแหล่งน้ำช่วยเสริมเก็บ
สุรเดช เตียวตระกูล อธิบดีกรมพัฒนาที่ดิน เสริมว่า “บ่อจิ๋ว”…ถือเป็นแหล่งเก็บกักน้ำในพื้นที่ของเกษตรกรที่มีกระจายอยู่ทั่วประเทศ ช่วยสร้างความชุ่มชื้น ฟื้นคืนชีวิตเกษตรกรให้ทำการเพาะปลูกสร้างรายได้เลี้ยงครอบครัวได้ เน้นไปที่ไร่นานอกเขตชลประทาน ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2548 จนถึงวันนี้ มีอยู่ 352,690 บ่อ ส่วนใหญ่กว่าร้อยละ 81 ทำในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สำหรับปีนี้ จะขุดบ่อจิ๋วตามงบฯอีก 20,000 บ่อ
“เราทำงานควบคู่ไปกับการสร้างความรู้ ความเข้าใจกับเกษตรกรเกี่ยวกับเรื่องแหล่งน้ำในไร่นานอกเขตชลประทาน รวมทั้งสำรวจความต้องการของเกษตรกรที่สนใจเข้าร่วมโครงการ”
นับรวมไปถึงปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้น้ำ…การบริหารจัดการให้สอดคล้องกับแผนที่เกษตร เพื่อบริหารจัดการเชิงรุก ตามความเหมาะสมของการปลูกพืช … พื้นที่ใน…นอกเขตชลประทาน แหล่งน้ำผิวดิน…ใต้ดิน โดยมีการวิเคราะห์ข้อมูลจัดทำเป็นแผนที่รายจังหวัด
ดร.ทองเปลว บอกอีกว่า ในระยะยาวกรมชลประทานกำลังเร่งดำเนินงานตามแผนยุทธศาสตร์บริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 12 ปี (2558-2569) ของรัฐบาล ที่วางเป้าหมายเพิ่มพื้นที่ชลประทานอีก 8.7 ล้านไร่ และเพิ่มแหล่งเก็บกักน้ำอีก 4,800 ล้าน ลบ.ม. และสามารถบริหารจัดการน้ำ ให้มีน้ำใช้เพื่อกิจกรรมต่างๆได้ 9,500 ล้าน ลบ.ม. ต่อปีอีกด้วย ยุทธศาสตร์นี้จะเป็นการแก้ปัญหาที่ยั่งยืนในอนาคต
ทั้งหมด…เป็นเพียงมาตรการส่วนหนึ่งที่กระทรวงเกษตรฯ ได้เตรียมจัดทัพรับมือเพื่อสกัด “วิกฤติภัยแล้ง” ที่อาจจะเกิดขึ้นอีกในปีหน้าและในอนาคต แต่สิ่งสำคัญเหนืออื่นใดคือการปลูกฝังให้ประชาชนทุกคนตระหนักถึงการใช้ “น้ำ” ร่วมกันทั้งในชุมชน…ระดับประเทศ
“บริหารจัดการน้ำ” อย่างเป็นระบบ…แก้ปัญหาในภาพรวมทั้งลุ่มน้ำ ตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำอย่างนี้แล้ว ถ้าไม่สำเร็จ คงโทษใครไม่ได้ นอกจาก…“เทพยดาฟ้าดิน”.