ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
โดย สะ-เล-เต 27 ก.ค. 2559 05:01
อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/672973

อะไรทำให้เป็นเช่นนั้น???…
จากการได้พูดคุยกับ นายทซึโทมุ มิยาโกชิ (Mr.Tsutomu Miyakoshi) ที่ปรึกษาเชี่ยวชาญพิเศษ (ข้าว) บริษัท สยามคูโบต้า คอร์ปอเรชั่น จำกัด อดีตผู้จัดการฝ่ายบริหารการเกษตรป่าไม้และประมง ประจำ จ.นีกะตะ ทำให้เห็นความแตกต่างระหว่างชาวนาไทยและญี่ปุ่น
หัวใจสำคัญ…การปลูกข้าวของญี่ปุ่นจะใช้เทคโนโลยีเข้าช่วยทุกขั้นตอน ตั้งแต่เตรียมดินยันเก็บเกี่ยว…ลดต้นทุนทุกด้าน ทั้งแรงงาน ปัจจัยการผลิต แถมผลผลิตเพิ่ม
ไม่เคยหยุดคิด ล่าสุดคิดค้นเทคโนโลยี ปลูกโดยใช้ผงเหล็กเคลือบเมล็ดพันธุ์ข้าว เพื่อให้มีน้ำหนัก ไม่ถูกลมหรือน้ำพัดไปจากจุดหยอดเมล็ด นกหนูศัตรูพืชไม่มากิน และใส่ยาปุ๋ยพร้อมกันตอนหยอดเมล็ด พื้นที่ 1 เฮกเตอร์ (6 ไร่ 1 งาน) ใช้เวลาหยอดเมล็ดแค่ 1 ชม. ใช้เมล็ดพันธุ์แค่ 4.8 กก.ต่อไร่… ขณะที่บ้านเรา นาดำใช้เมล็ดพันธุ์ไร่ละ 8-10 กก. นาหว่าน 10-20 กก.
มีวิจัยเมล็ดพันธุ์ข้าวในระดับดีเอ็นเอ จนได้ข้าวโคชิฮิคาริ ที่ญี่ปุ่นอ้างว่า อร่อยและแพงที่สุดในโลก ราคา กก.ละ 2,000 เยน หรือเกือบ 700 บาท…ข้าวไรซ์เบอรี่ของไทยที่ว่าแน่ ราคาต่างกันลิบลับเป็นร้อยเท่า
ญี่ปุ่นมองข้ามเรื่องผลผลิตต่อไร่ เพราะผลผลิตนิ่ง แต่ละปีต่างกันไม่มาก บวกลบ 2% ให้ความสำคัญเรื่องรสชาติ การเพิ่มมูลค่าเป็นพิเศษ…ส่วนเรา ผลผลิตไม่คงที่ สนแค่ผลผลิตต่อไร่มากเอาไว้ก่อน
เขาแค่ต้องการให้คนในประเทศได้กินข้าวที่อร่อย ดี มีคุณภาพ ไม่เคยวาดภาพถึงการส่งออกทั้งที่มีศักยภาพ…ที่สำคัญ เขามองข้าวไทยเป็นแค่วัตถุดิบราคาถูก ยังไม่ถึงขั้นวางบนชั้นวางในซุปเปอร์มาร์เก็ตได้
การใช้เทคโนโลยีช่วยลดระยะเวลาเพาะปลูกไปได้ถึง 60%…ในพื้นที่ 1 แปลง (2 ไร่ในรายเล็ก) ใช้แรงงานทำสองคนแค่ตอนหยอดเมล็ดและเก็บเกี่ยวผลผลิตเท่านั้น ทำให้เขาสวมชุดปกติ หรือแม้กระทั่งใส่สูททำนาได้ เพราะไม่ต้องไปย่ำดินโคลน…พรุ่งนี้มาว่ากันต่อ.
“สะ–เล–เต”