ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า
http://www.naewna.com/creative/255176
วันเสาร์ ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560, 02.00 น.
ทั้งๆ ที่รัฐนาวายุคอำนาจพิเศษมีภารกิจสำคัญของชาติที่ต้องเดินหน้าปฏิรูปอีกมากมายก่ายกองท่ามกลางสารพัดมรสุมรุมเร้าทั้งในและจากนอกประเทศ แต่คนสำคัญในรัฐบาลกลับจุดชนวนระเบิดเวลาทำลายตัวเอง
ระเบิดเวลาลูกแรกถูกจุดชนวนโดย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯฝ่ายความมั่นคงที่อยู่ดีไม่ว่าดีปากจะพาพังด้วยการให้สัมภาษณ์สื่อแบบคลุมเครือทีเล่นทีจริงทำนองว่า หากแผนสร้างความปรองดองไม่สำเร็จก็เป็นไปได้ที่จะมีรัฐประหารอีก
การให้สัมภาษณ์แบบจุดชนวนระเบิดเวลาของ พล.อ.ประวิตร ครั้งนี้เกิดจากการตอบคำถามนักข่าวเรื่องที่เว็บไซต์ของวอชิงตันโพสต์สื่อดังของมะกันอันตรายประโคมบทวิเคราะห์ว่าไทยเสี่ยงเป็นอันดับ 2 ของโลกที่จะเกิดการรัฐประหารในปี 2560 นี้รองจากประเทศบุรุนดีในแอฟริกา ซึ่ง พล.อ.ประวิตร ด้านหนึ่งปฏิเสธแข็งขันให้ความมั่นใจว่าทหารไม่มีใครอยากปฏิวัติรัฐประหาร นอกจากประเทศเดินหน้าต่อไปไม่ได้ แต่อีกด้านหนึ่งดันพูดแบบกำกวมอย่างมีนัยว่า “ถ้าเราปรองดองกันและทุกฝ่ายให้ความร่วมมือกันผมคิดว่าการทำปฏิวัติรัฐประหารไม่มีทางเกิดขึ้นได้ อีกทั้งทหารก็อยู่ภายใต้การดูแลของรัฐบาล”
การพูดแบบคลุมเครือแบบนี้จะให้ตีความเป็นอย่างอื่นได้อย่างไร นอกจากหมายความเหมือนขู่กรายๆ ว่า “ถ้าไม่ร่วมมือสร้างความปรองดอง รัฐประหารก็อาจเกิดขึ้นอีก” ซึ่ง พล.อ.ประวิตร อาจจะไม่มีเจตนาอย่างที่พูดก็ได้ แต่คำพูดเป็นนายมันตีความได้อย่างนั้น
ที่ผ่านมาเท่าที่สังเกตดูการให้สัมภาษณ์ของ พล.อ.ประวิตร หลายต่อหลายครั้งนอกจากจับประเด็นหาสาระที่ชัดเจนอะไรไม่ค่อยได้แล้ว ยังมักคลุมเครือและหลายครั้งสร้างความสับสนจนสร้างปัญหาให้รัฐบาลและประเทศ
ทั้งนี้ผู้นำที่ดีนั้นไม่จำเป็นต้องพูดมากหรือพูดเรื่อยเปื่อยจนบางทีคำพูดมัดคอตัวเอง ผู้นำที่ดีมีแผนหรือคิดเรื่องสำคัญอยู่ในใจโดยไม่จำเป็นต้องเปิดเผยต่อสาธารณะเพราะบางเรื่องเป็นเรื่องอ่อนไหวส่งผลกระทบ ผู้นำพูดน้อยต่อยหนักจะดีกว่าผู้นำพูดเรื่อยเปื่อย อีกทั้งผู้นำต้องตระหนักว่าคำพูดแต่ละคำของตัวเองส่งผลกระทบต่อประเทศ การพูดที่ผิดพลาดแม้เพียงคำเดียวอาจสร้างความเสียหายต่อส่วนรวมอย่างร้ายแรงได้
การที่ พล.อ.ประวิตร พูดแบบกำกวมในทำนองมีโอกาสเกิดรัฐประหารอีกหากแผนสร้างความปรองดองไม่สำเร็จอย่างนี้เข้าทางทำให้บทวิเคราะห์แบบนั่งเทียนของวอชิงตันโพสต์มีน้ำหนักน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น แทนที่จะถูกมองว่าเป็นการสร้างเรื่องแบบโคมลอยไร้สาระโดยมีเป้าหมายมุ่งบ่อนทำลายอำนาจรัฐไทยของสื่อตะวันตกประเภทผีโม่แป้ง ซึ่งการตอกย้ำเรื่องโอกาสที่อาจเกิดรัฐประหารอีกของบุคคลสำคัญในรัฐบาลยังส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจของประเทศ อีกเรื่องหนึ่งที่อำนาจรัฐจุดชนวนระเบิดเวลาทำลายตัวเองอย่างไม่จำเป็นนั่นก็คือแนวคิดผลักดันผ่านคณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านการสื่อสารมวลชน สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ(สปท.) ที่มี พล.อ.อ.คณิต สุวรรณเนตร เป็นประธานในความพยายามที่จะผลักดันร่าง พ.ร.บ.การคุ้มครองสิทธิเสรีภาพส่งเสริมจริยธรรมและมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชนที่มีเนื้อหาส่อเป็นการแทรกแซงควบคุมสื่อซึ่งผิดหลักสากลด้วยการกำหนดให้ปลัดกระทรวง 4 กระทรวงร่วมเป็นกรรมการสภาวิชาชีพสื่อมวลชนแห่งชาติ จนกลายเป็นปัญหาบานปลายเมื่อองค์กรสื่อทั่วประเทศ 30 องค์กรรวมตัวกันยื่นหนังสือประท้วงอำนาจรัฐและล่าสุดตัวแทนสื่อ 4 คน ได้ลาออกจากการเป็นอนุกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปด้านสื่อสิ่งพิมพ์ในคณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านการสื่อสารมวลชน พร้อมกดดันให้มีการปลด พล.อ.อ.คณิต ออกจากประธานคณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านการสื่อสารมวลชน
ระเบิดเวลาจากการเปิดศึกกับสื่อของ สปท.ซึ่งไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเป็นหนึ่งในแม่น้ำ 5 สาย ของอำนาจรัฐยุคคสช. หากไม่รีบถอดชนวนจะกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่บ่อนทำลายอำนาจรัฐคสช.ในภาพรวม เพราะการแทรกแซงควบคุมสื่อส่อเจตนาปิดหูปิดตาประชาชนถือเป็นประเด็นใหญ่ของระบอบประชาธิปไตยที่ทั่วโลกให้ความสำคัญอย่างมาก การแทรกแซงควบคุมสื่อจึงเป็นเป้าทางบรรดาชาติมหาอำนาจตะวันตกที่จ้องขย้ำบ่อนทำลาย คสช.
การปฏิรูปสื่อนั้นต้องทำอย่างรอบคอบซึ่งแน่นอนว่าในบรรดาสื่อย่อมมีสื่อที่ไม่ดี แต่รัฐก็ไม่ควรออกกฎหมายแทรกแซงควบคุมสื่อในลักษณะเหมารวมซึ่งเป็นเรื่องของหลักการ ทั้งนี้สื่อที่ไม่ดีรัฐบาลคสช.สามารถใช้กฎหมายปกติเท่าที่มีอยู่จัดการสื่อที่บิดเบือนไม่มีจรรยาบรรณและมีเป้าหมายทางการเมืองแอบแฝงได้อยู่แล้ว ซึ่งความพยายามที่จะผลักดันกฎหมายแทรกแซงควบคุมสื่อในที่สุดผลร้ายจะตกอยู่กับอำนาจรัฐเองเพราะแน่นอนว่าจะถูกต่อต้านจากนานาประเทศ การที่รัฐบาลหัวเสียกับภาพลบในหลายเรื่องและผลงานที่ยังไม่เข้าเป้าแล้วมองว่าเป็นเพราะบทบาทของสื่อตลอดช่วงที่ผ่านมาคงไม่ใช่การมองปัญหาที่ตรงจุด เพราะการวิพากษ์วิจารณ์ของสื่อต่อรัฐบาลในแง่ลบคงไม่มีความหมาย ตราบใดที่รัฐบาลสร้างผลงานได้เข้าตาเป็นที่ยอมรับของประชาชนทั้งประเทศ การสร้างศรัทธาและผลงานโดยยึดความถูกต้องเพื่อประโยชน์ของชาติบ้านเมืองเป็นที่ตั้งจึงเป็นการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน
ปัญหาหลักของชาติบ้านเมืองเฉพาะหน้าที่รอการแก้ไขมีอีกมากทั้งปัญหาเศรษฐกิจ และการทุจริต ขจัดคอร์รัปชั่นจริงจัง เพราะ ฉะนั้นรัฐบาลอย่ามัวมาเสียเวลาสะเปะสะปะ ซ้ำจุดชนวนระเบิดเวลาทำลายตัวเอง
ทีมข่าวการเมือง
