ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 10 ส.ค. 2559 05:01
อ่านข่าวต่อได้ที่: https://www.thairath.co.th/content/685691

ความคิดนี้วนเวียนอยู่ในหัว ลุงนัด อ่อนแก้ว ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนบ้านเขากลาง ต.ปันแต อ.ควนขนุน จ.พัทลุง ตลอดเวลา…กระทั่งเจอคำตอบ ต้องพัฒนาคุณภาพข้าว ให้เป็นเกรดพรีเมียม ไม่เพียงจะทำให้กลุ่มผู้บริโภคยอมรับ ยังสามารถเปิดตลาดสร้างโอกาสทางการค้าขายได้ขึ้น

ลุงนัด เล่าให้ฟัง เมื่อก่อนชาวบ้านปลูกข้าวสังข์หยดไว้เพื่อกินในครัวเรือน ราคาขายจึงได้แค่ตันละ 3,000-3,500 บาท แต่เมื่อคนในเมืองเริ่มรู้จัก ข้าวสังข์หยดมีกากใย โปรตีน ธาตุเหล็กสูง มีสารช่วยป้องกันมะเร็ง แม้ความ ต้องการเพิ่มขึ้น แต่ราคากลับยังวนเวียนเท่าเดิม เลยปรึกษากรมการข้าว หาวิธีทำให้ข้าวสังข์หยดมีราคา
หลังจากจัดตั้งเป็นวิสาหกิจชุมชน เพื่อปรับระบบการปลูกให้เป็น GAP ควบคู่กับการสร้างโรงสีให้เป็นไปตามมาตรฐาน GMP จึงขอให้ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, กรมการข้าว และสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) มาเป็นพี่เลี้ยงให้คำแนะนำทุกขั้นตอน ตั้งแต่การเตรียมพื้นที่ ควบคุมการปลูก ระยะเวลาเก็บเกี่ยว เพื่อให้ได้ข้าวสารออกมามีคุณภาพ

“การปลูกข้าวนอกจากปรับกระบวนการผลิตให้ปลอดสารเคมี ระยะเวลาในการเกี่ยวข้าว นับว่าเป็นสิ่งสำคัญ ถ้าทางวิชาการแนะนำให้เกี่ยวข้าวช่วงพลับ-พลึง แต่ลุงใช้วิชากู รอให้ข้าวแก่จัด ตอนเช้าห้ามเกี่ยวข้าว เพราะยังมีความชื้นจากน้ำค้างหลงเหลืออยู่ ต้องเกี่ยวใกล้เที่ยง แสงแดดและความร้อนจะช่วยไล่ความชื้นทำให้ข้าวแห้ง เกี่ยวข้าวปุ๊บส่งเข้าโรงสีทันที ให้โรงสีช่วยไล่ความชื้นอีกที เพราะถ้าทำกันแบบปล่อยให้ชาวบ้านตากข้าวเอง ตากทิ้งไว้บนลาน ความร้อนไม่สม่ำเสมอ นำข้าวไปสี เมล็ดแตกหักจะมีมาก”
ส่วนเรื่องเมล็ดพันธุ์ปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ข้าวมีคุณภาพ ลุงนัด จะใช้วิธีเปลี่ยนพันธุ์ข้าวทุก 3 ฤดู โดยรับมาจากศูนย์วิจัยข้าวพัทลุง เพราะถ้านำพันธุ์เก่ามาปลูกต่อกันไปเรื่อย ข้าวจะเตี้ยให้ผลผลิตน้อย แต่ในการเปลี่ยนพันธุ์จะใช้วิธีทยอยเปลี่ยน โดยแบ่งพื้นที่ออกเป็นโซนๆ ทั้งนี้เพื่อเมล็ดพันธุ์ที่กรมการข้าวผลิตออกมา จะได้เพียงพอต่อการใช้ ขืนเปลี่ยนทีเดียวพร้อมกันหมด เมล็ดพันธุ์มีไม่พอแน่

และจากการพัฒนาตัวเองก้าวสู่การปลูกข้าวแบบ GAP ลุงนัด บอก ว่า ช่วยทำให้กลุ่มวิสาหกิจชุมชนควนขนุนเกิดความเข้มแข็ง ช่วยชาวบ้านขายข้าวเปลือกได้ราคาสูงถึงตันละ 17,000 บาท และทำให้การปลูกข้าวกลายเป็นแหล่งรายได้สำคัญให้กับชาวบ้าน….เพราะวันนี้ชุมชนไม่ได้ปลูกข้าวขายเป็นแค่ข้าวเปลือก

แต่มีการแปรรูปเป็นข้าวสาร และผลิตภัณฑ์แปรรูปต่างๆมากมาย และลูกค้าส่วนใหญ่เป็นกลุ่มรักษ์สุขภาพจากจีน และสิงคโปร์…ในขณะนี้นโยบายภาครัฐยังคงงมโข่งอยู่กับเรื่องเดิมๆ.
เพ็ญพิชญา เตียว