ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า
http://www.naewna.com/creative/259521
วันพฤหัสบดี ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2560, 02.00 น.
นับเป็นอีกบทเรียนอันเจ็บปวดสำหรับชาติบ้านเมืองและถือเป็นความอัปยศของระบบราชการไทยจากมหกรรมส่อโกงยุคระบอบแม้วครองเมืองโดยเฉพาะคดีเรียกเก็บภาษีมูลค่าราว 16,000 ล้านบาท จากนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯนักโทษหนีคุกกรณีขายหุ้นบริษัทชินคอร์เปอเรชั่นให้บริษัทเทมาเส็กโฮลดิ้ง มูลค่า 73,000 ล้านบาท กำลังจะหมดอายุความในวันที่ 31 มีนาคมนี้
ความเป็นมาของมหกรรมส่อโกงภาษีหุ้นชินคอร์ปฯมูลค่า 16,000 ล้านบาท ครั้งนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ก่อนที่ นายทักษิณ จะขายหุ้นลอตใหญ่ให้เทมาเส็กโดยมีการเล่นแร่แปรธาตุโดยไปจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทแอมเพิลริชที่เกาะบริติชเวอร์จินซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นแหล่งฟอกเงินระดับโลกที่เหล่านักธุรกิจการเมืองจอมคอร์รัปชั่นทั่วโลกจะนำทรัพย์สินมาฟอกที่เกาะแห่งนึ้ จากนั้นมีการผองถ่ายหุ้นชินคอร์ปไปยังบริษัทแอมเพิลริช แล้วจัดฉากทำทีเป็นขายหุ้นชินคอร์ปจากบริษัทแอมเพิลริชให้กับคนใกล้ชิดซึ่งเป็นนอมินีซึ่งรวมทั้งนายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย และ น.ส.พินทองทา ชินวัตร บุตรสาวของนายทักษิณ คนละ 164,600,000 หุ้นในราคาหุ้นละแค่ 1 บาท ทั้งๆที่ราคาหุ้นในตลาด 49.25 บาท นอกจากนี้ยังมีการขายหุ้นในราคาหุ้นละ 1 บาทให้กับคนใกล้ชิดซึ่งเป็นนอมินีอีกหลายคน ซึ่งตามประมวลรัษฎากรมาตรา 39 ต้องเสียภาษีจากส่วนต่างของราคาหุ้น
แต่ นายทักษิณ กลับส่อเจตนาหลบเลี่ยงการเสียภาษีหุ้นชินคอร์ปมูลค่ารวมแล้วราว 16,000 ล้านบาท และที่สำคัญ นายทักษิณ ขณะมีอำนาจเป็นผู้นำประเทศได้ใช้อำนาจแก้ไขกฎหมายเพิ่มเพดานการถือครองหุ้นด้านโทรคมนาคมของต่างชาติ เพื่อเปิดทางให้สามารถขายหุ้นชินคอร์ปลอตใหญ่มูลค่า 73,000 ล้านบาท ให้กับเทมาเส็กซึ่งเป็นของรัฐบาลสิงคโปร์
หลังการรัฐประหารล้มรัฐบาลทักษิณเมื่อปี 2549 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้ยึดทรัพย์สินของ นายทักษิณ เป็นมูลค่า 46,000 ล้านบาทฐานร่ำรวยผิดปกติและได้ทรัพย์สินมาโดยมิชอบ ซึ่งในเวลาต่อมา นายทักษิณ ได้อาศัยกรณีถูกยึดทรัพย์สินเป็นข้ออ้างหักร้างการเรียกเก็บภาษีจาก นายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา โดยอ้างว่าหุ้นชินคอร์ปของบุตรทั้งสองเป็นหุ้นของตัวเองซึ่งรวมอยู่ในทรัพย์สิน 46,000 ล้านบาท ที่ถูกยึดไปแล้ว
อย่างไรก็ตาม จากคำวินิจฉัยยึดทรัพย์ นายทักษิณ ของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตอนหนึ่งได้กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้อย่างชัดเจนว่า การเรียกเก็บภาษีจากนายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา ที่ซื้อหุ้นจากบริษัทแอมเพิลริชเป็นการดำเนินการตามบทบัญญัติแห่งประมวลรัษฏากรอันเป็นกฎหมายพิเศษที่กำหนดให้ผู้มีเงินได้พึงประเมินมีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไข ข้อต่อสู้ของ นายทักษิณ และผู้ครอบครองหุ้นแทนจึงฟังไม่ขึ้น
แม้จะมีคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองแล้ว แต่ นายทักษิณ และบุตรทั้งสองคือ นายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา ก็ยืนกรานไม่ยอมจ่ายภาษีให้รัฐ โดยรัฐบาลระบอบแม้วยุคต่อๆ มากระทรวงการคลังและกรมสรรพากรซึ่งอยู่ภายใต้อำนาจของรัฐบาลระบอบแม้วก็จงใจละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ไม่เรียกเก็บภาษีหุ้นชินคอร์ปจากคนตระกูลชินทั้ง 3 จนมีการฟ้องร้องดำเนินคดีกับข้าราชการที่เกี่ยวข้อง
จนเมื่อวันที่ 28 ก.ค.2559 ศาลอาญาพิพากษาตัดสินลงโทษจำคุกอดีตผู้บริหารระดับสูงของกรมสรรพากรหลายคนคนละ 3 ปีฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่เอื้อให้คนตระกูลชินไม่ต้องเสียภาษีการซื้อขายหุ้นชินคอร์ปแก่รัฐ ซึ่งอดีตผู้บริหารกรมสรรพากรที่สำคัญคือ นางเบญจา หลุยเจริญ อดีตอธิบดีกรมสรรพากรและอดีตรมช.คลัง ยุครัฐบาลระบอบแม้ว
ทั้งนี้ นางเบญจา นั้นถูกตั้งข้อสังเกตว่าเป็นเด็กในคาถาตระกูลชินโดยเติบโตในหน้าที่การงานอย่างรวดเร็วถึงขนาดได้รับการปูนบำเหน็จให้นั่งเก้าอี้รมช.คลัง
กรณีโกงภาษีหุ้นชินคอร์ปมูลค่า 16,000 ล้านบาทดังกล่าวถูกตั้งข้อสังเกตว่าเป็นเพียงเศษเสี้ยวของมหกรรมโกงชาติปล้นแผ่นดินยุครัฐบาลแม้วครองเมืองที่มีการประเมินว่า มีการทุจริตเชิงนโยบายที่สำคัญเกือบ 100 กรณีคิดเป็นมูลค่ามหาศาล โดยเหิมเกริมถึงขนาดออกพระราชกำหนด (พ.ร.ก.)ลดภาษีมือถือเอื้อประโยชน์ต่อธุรกิจมือถือของตระกูลชินเป็นมูลค่าหลายหมื่นล้านบาท ทั้งๆที่เป็นการละเมิดรัฐธรรมนูญที่กำหนดให้การออกพ.ร.ก.จะกระทำได้ก็ต่อเมื่อเกิดกรณีคอขาดบาดตายเป็นกรณีเร่งด่วนฉุกเฉินอันกระทบต่อความมั่นคงและเศรษฐกิจของชาติอย่างร้ายแรงเท่านั้น แต่รัฐบาลแม้วกลับออกพ.ร.ก.เพียงเพื่อเอื้อต่อธุรกิจตระกูลชิน
หรือกรณีการปล่อยเงินกู้ให้กับรัฐบาลพม่ามูลค่ากว่า 4,000 ล้านบาทเพื่อในอัตราดอกเบี้ยต่ำเพื่อนำไปซื้ออุปกรณ์ด้านการสื่อสารโทรคมนาคมซึ่งเป็นธุรกิจตระกูลชิน หรือคดีที่ธนาคารกรุงไทยปล่อยกู้ให้กับกลุ่มบริษัทกฤษดามหานคร มูลค่ากว่า 10,000 ล้านบาททั้งๆ ที่กลุ่มบริษัทกฤษดามหานครอยู่ในบัญชีกลุ่มธุรกิจที่เสี่ยงจะเป็นหนี้เสีย โดยคดีนี้ศาลตัดสินจำคุกผู้บริหารธนาคารกรุงไทยและเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องจำนวนมาก โดยมี นายทักษิณ เป็นจำเลยที่ 1
สำหรับคดีส่อโกงภาษีหุ้นชินคอร์ปที่กำลังจะหมดอายุความในวันที่ 31 มี.ค.นี้นั้นถือเป็นเพียงเศษเสี้ยวที่สะท้อนพิษภัยของระบอบธุรกิจการเมืองในคราบประชาธิปไตยจอมปลอม ซึ่งประเด็นที่เป็นข้อสงสัยก็คือ ทำไมกระทรวงการคลังและกรมสรรพากรถึงไม่แก้ปัญหาตั้งแต่ต้นปล่อยให้ปัญหายืดเยื้อจนใกล้จะหมดอายุความในปลายเดือนนี้ทั้งๆที่เป็นเรื่องสำคัญที่เกี่ยวข้องกับภาษีมูลค่ามหาศาลซึ่งควรจะตกเป็นของแผ่นดิน และล่าสุดคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากรของกระทรวงการคลังประชุมและได้ข้อสรุปว่า รัฐส่อวืดที่จะเก็บภาษีการซื้อขายหุ้นชินคอร์ปที่มีปัญหาเพราะกรมสรรพากรไม่ได้ออกหมายเรียกภายใน 5 ปี ส่วนการจะขยายเวลาการออกหมายเรียกก็ทำไม่ได้เพราะกฎหมายกำหนดว่า การขยายเวลาออกหมายเรียกต้องให้คุณแก่ผู้เสียภาษี ไม่สามารถให้โทษกับผู้เสียภาษีได้
นี่คือผลพวงพิษภัยของธุรกิจการเมืองในคราบประชาธิปไตยจอมปลอมที่นอกจากโกงชาติปล้นแผ่นดินมหาศาลแล้ว ยังทำลายระบบราชการให้กลายเป็นทาสรับใช้ผู้มีอำนาจทางการเมือง
ทีมข่าวการเมือง
