ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า
http://www.naewna.com/creative/261383
วันอังคาร ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2560, 02.00 น.
แน่นอนว่าคงไม่มีอาชญากรคนไหนยอมรับสารภาพแต่โดยดี ซึ่งนายวุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ หรือ “โกตี๋” แกนนำแดงฮาร์ดคอร์ที่หนีหมายจับคดีหมิ่นเบื้องสูงและคดีความมั่นคงไปกบดานอยู่ในประเทศเพื่อนบ้านลาวก็เช่นกันออกมาปฏิเสธผ่านยูทูบทันทีว่า ปฏิบัติการของฝ่ายทหารและตำรวจที่บุกตรวจค้นเครือข่าย“โกตี๋”พร้อมกัน 9 จุดใน 7 จังหวัด โดยเฉพาะที่จ.ปทุมธานี อันเป็นถิ่น“โกตี๋”เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยพบคลังแสงอาวุธสงครามร้ายแรงจำนวนมาก ซึ่งฝ่ายความมั่นคงเชื่อว่าคลังแสงดังกล่าวเป็นแผนก่อการร้ายและเตรียมลอบสังหารผู้นำ เป็นปฏิบัติการจัดฉากของอำนาจรัฐที่ไม่แนบเนียน
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายตำรวจนำทีมโดย พล.ต.อ.จักรทิพย์ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) พร้อมนายตำรวจใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับปฏิบัติการจับคลังอาวุธ“โกตี๋”ครั้งนี้แถลงข่าวใหญ่อย่างเป็นทางการ พร้อมนำหลักฐานที่ยึดได้คืออาวุธสงครามร้ายแรงกองมหึมาโชว์ต่อสื่อมวลชน โดยในบรรดาอาวุธสงครามร้ายแรงนานาชนิดที่น่าสนใจก็คือ ปืนสไนป์เปอร์เก็บเสียงซึ่งใช้สำหรับภารกิจลอบสังหารโดยเฉพาะ ซึ่งคลังอาวุธที่บุกยึดได้ดูเหมือนจะสอดคล้องกับพฤติการณ์ของ “โกตี๋” ที่ก่อนหน้านี้เคลื่อนไหวโฆษณาชวนเชื่อทางสื่อโซเชียลมีเดียซึ่งนอกจากหมิ่นเบื้องสูงอย่างหยาบช้าแล้ว ยังเคยประกาศว่าจะสังหาร พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคสช. รวมทั้งพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง
พล.ต.อ.จักรทิพย์ เท้าความว่าการตรวจค้นยึดคลังแสง “โกตี๋” ครั้งนี้สืบเนื่องจากการเข้าตรวจค้นสำนักจานบินเพื่อจับ ธัมมชโย อดีตเจ้าสำนัก เมื่อต้นเดือนนี้พบว่ามีกลุ่มบุคคลที่เป็นเครือข่ายของ “โกตี๋” เคลื่อนไหววางแผนสะสมและซุกซ่อนอาวุธสงครามร้ายแรงจำนวนมากเพื่อเตรียมก่อเหตุร้ายหากฝ่ายเจ้าหน้าที่ใช้กำลังบุกเข้าตรวจค้นสำนักจานบินซึ่งสืบสวนขยายผลมาอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งบุกยึดคลังอาวุธจำนวนมากดังกล่าว
พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกรัฐบาล ยืนยันว่าการบุกทลายเครือข่ายและสกัดแผนร้ายของ “โกตี๋”ครั้งนี้ไม่ได้มีการจัดฉาก โดยปฏิบัติการของฝ่ายเจ้าหน้าที่พาสื่อมวลชนและมีการบันทึกภาพการเข้าตรวจค้นทุกขั้นตอนอย่างละเอียด อีกทั้งก่อนลงมือปฏิบัติการหน่วยงานด้านการข่าวได้มีการติดตามพฤติกรรมความเคลื่อนไหวเครือข่ายของ “โกตี๋” มานานพอสมควร
ยิ่งหากศึกษาประวัติที่นิยมการใช้ความรุนแรงอย่างโชกโชนของ “โกตี๋” ก็คงไม่มีอะไรสงสัย โดย “โกตี๋” เคยร่วมกับกลุ่มเสื้อแดงก่อจลาจลทั่วกทม.และบุกล้มการประชุมสุดยอดผู้นำชาติอาเซียนและผู้นำชาติมหาอำนาจคู่เจรจาที่โรงแรมรอยัล คลิฟ พัทยา เมื่อปี 2552 ตามด้วยการก่อการร้ายเผาบ้านทำลายเมืองปี 2553 และล่าสุดก็คือยกกำลังเสื้อแดงบุกยิงถล่มมวลมหาประชาชน กปปส. ที่นำโดย หลวงปู่พุทธะอิสระ ที่บริเวณสี่แยกหลักสี่ เมื่อปี 2557
ประเด็นที่น่าสนใจคืออาวุธร้ายแรงจำนวนมากของเครือข่าย“โกตี๋” ครั้งนี้และแผนร้ายที่เตรียมก่อเหตุรุนแรงใครต่อท่อน้ำเลี้ยงและชักใยอยู่เบื้องหลัง เพราะลำพังเครือข่าย “โกตี๋” จัดหาอาวุธสงครามมากมายขนาดนี้ไม่ได้แน่นอน และปฏิบัติการใหญ่ขนาดนี้ต้องมีคนหนุนหลัง วางแผนและสั่งการเป็นอย่างดีโดยทำอย่างเป็นขบวนการและเป็นระบบ เพราะจากปฏิบัติการตรวจค้น 9 จุดใน 7 จังหวัดประกอบด้วยปทุมธานี สมุทรปราการ อ่างทอง ประจวบคีรีขันธ์ หนองคาย สุรินทร์ และนครราชสีมานอกจากสามารถยึดอาวุธสงครามและสิ่งผิดกฎหมายได้จำนวนมากแล้ว ยังคุมตัวผู้ต้องสงสัยได้ 9 คน ซึ่งขณะนี้กำลังถูกสอบเครียดเพื่อขยายผลหวังสาวไปให้ถึงตัวจอมบงการ
ทั้งนี้จ.ปทุมธานี ถือเป็นแหล่งอิทธิพลสำคัญของ “โกตี๋” โดยได้รับการหนุนหลังจากนักการเมืองดังของจังหวัด รวมทั้งอดีตนายตำรวจใหญ่คนดังที่ได้ดีเพราะพี่ให้ที่มีอิทธิพลอยู่ในพื้นที่ จ.ปทุมธานี
ข้อน่าสังเกตก็คือ แผนร้ายของเครือข่าย “โกตี๋”เกิดขึ้นภายใต้สถานการณ์ที่ขบวนการเพื่อแม้ว และพันธมิตรคือสำนักจานบินกำลังอยู่ในภาวะหลังพิงฝาด้วยมาตรการทางกฎหมายของอำนาจรัฐจนใกล้ล่มสลายเข้าไปทุกขณะ
การที่“โกตี๋” ยังลอยนวลกบดานอยู่ในลาวมานานถึง 3 ปีต้องถือว่าไม่ธรรมดา และที่น่าสังเกตก็คือ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ทางการไทยโดยเฉพาะ พล.อ.ประวิตร เคยนำทีมผู้นำหน่วยงานด้านความมั่นคงของไทยบินไปเจรจากับผู้นำระดับสูงของลาวด้วยตัวเองเพื่อขอให้ทางการลาวส่งตัว “โกตี๋” ที่ถูกออกหมายจับคดีหมิ่นเบื้องสูงกลับมาดำเนินคดีในไทย แต่จนบัดนี้เรื่องกลับเงียบสนิท
แต่ในเมื่อเกิดกรณีปฏิบัติการบุกจับเครือข่าย “โกตี๋” พร้อมอาวุธสงครามจำนวนมาก และพบเบาะแสแผนร้ายถึงขนาดมุ่งสังหารผู้นำของไทย จึงน่าที่หน่วยงานด้านความมั่นคงของไทยหรือกระทรวงการต่างประเทศจะลองอีกครั้งโดยประสานงานไปยังทางการลาวเพื่อขอให้ส่งตัว “โกตี๋และพวกซึ่งเป็นผู้ต้องหาอันเป็นภัยต่อสถาบันเบื้องสูงและต่อความมั่นคงของชาติมาให้ทางการไทย แม้ไทยและลาวจะไม่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนต่อกัน แต่เพื่อความร่วมมือและความสัมพันธ์อันดีระหว่างสองประเทศในอนาคต
ทั้งนี้เพื่อเป็นการวัดใจทางการลาว ซึ่งหากทางการลาวยังเฉยไม่ยอมส่งตัว“โกตี๋”และพวก ก็คงได้แต่เก็บท่าทีไว้ในใจว่าทีใครทีมัน
ทีมข่าวการเมือง
