ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า
http://www.naewna.com/creative/259961
วันอาทิตย์ ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2560, 02.00 น.
อีกแค่ 2 เดือนเศษก็จะครบรอบ 3 ปี ที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)เข้าควบคุมอำนาจการปกครองประเทศ ซึ่งบทเรียในอดีตชี้ให้เห็นว่าผู้บริหารประเทศไม่ว่าจะมาจากวิถีทางในหรือนอกระบอบประชาธิปไตยยิ่งอยู่นานก็ยิ่งเสื่อมและเกิดปัญหาวิกฤติศรัทธา ซึ่งกว่า 2 ปีที่ผ่านมา ภายใต้อำนาจพิเศษของคสช.จากที่เคยได้รับช่อดอกไม้เสียงสนับสนุนจากคนทั้งประเทศอย่างท่วมท้น แต่ปัจจุบันเริ่มเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อำนาจรัฐดังมากขึ้นเรื่อยๆ
อย่างไรก็ตาม เสียงวิพากษ์วิจารณ์มีทั้งการติเพื่อก่อเชิงสร้างสรรค์อย่างตรงไปตรงมาไม่มีเบื้องหลังเบื้องหลัง กับการออกมาเคลื่อนไหวโจมตีมุ่งบ่อนทำลายอำนาจรัฐของขบวนการที่มีเป้าหมายแอบแฝงทางการเมือง
การออกมาวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลโดยนักวิชาการขาประจำของ นายธีรยุทธ บุญมี อาจารย์จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ นพ.ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส ถือเป็นเรื่องปกติเชิงสร้างสรรค์ ซึ่งต่างจากการเคลื่อนไหวของพรรคเพื่อไทยและเครือข่ายระบอบทักษิณทั้งหลายที่มุ่งบ่อนทำลายรัฐด้วยการใช้สารพัดวิชามาร
คำวิพากษ์วิจารณ์ของสองนักคิดอาวุโสอาจมีทั้งส่วนที่ชัดเจนและเลื่อนลอยเป็นเรื่องธรรมดา แต่บางประเด็นก็ตรงกับความคิดของผู้คนจำนวนไม่น้อยโดยเฉพาะคำวิพากษ์วิจารณ์ของ นายธีรยุทธที่มองว่าเกือบ 3 ปี หลังการยึดอำนาจของคสช.ยังไม่สามารถสร้างผลงานการปฏิรูปประเทศให้เห็นเป็นรูปธรรมเป็นชิ้นเป็นอันทั้งๆ ที่มีอำนาจพิเศษอยู่ในมือ โดยเฉพาะการขจัดการทุจริตคอร์รัปชั่นรัฐนาวาภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคสช. เหมือนพายเรือในอ่าง ซึ่งหากยังเป็นเช่นนี้ต่อไปในที่สุดก็อาจเกยตื้นได้เมื่อเกิดวิกฤติศรัทธาในหมู่มหาชน
อย่างไรก็ตาม คำวิพากษ์วิจารณ์ของ นายธีรยุทธ บางประเด็นเกินเลยความจริง เพราะที่ผ่านมาอำนาจรัฐคสช.พยายามผลักดันรัฐธรรมนูญฉบับปราบโกงรวมทั้งกฎหมายที่เกี่ยวข้องจนกระทั่งกำลังจะมีผลบังคับใช้ในเร็วๆ นี้ ซึ่งเป็นการวางกติกาพื้นฐานในการปฏิรูปประเทศป้องกันการทุจริตคอร์รัปชั่นในอนาคต ขณะเดียวกันที่ผ่านมามีการใช้มาตรา 44 ลงโทษข้าราชการระดับสูงและผู้บริหารรัฐวิสาหกิจที่ส่อทุจริตไปแล้วหลายราย รวมทั้งผลักดันคดีทุจริตสำคัญต่างๆ เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม อาทิ โครงการรับจำนำข้าวยุครัฐบาลชุดที่แล้วจนมีความคืบหน้าตามลำดับในการดำเนินคดีอาญาและฟ้องร้องทางแพ่งเพื่อให้ชดใช้ความเสียหายแก่แผ่นดิน ตลอดจนมีการตั้งบุคคลผู้มีความน่าเชื่อถือเป็นที่ยอมรับมาเป็นคณะกรรมการควบคุมการจัดซื้อจัดจ้างโครงการขนาดใหญ่ภาครัฐ อีกทั้งจากผลสำรวจของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยพบว่า ปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่นแม้จะยังคงมีอยู่ แต่ก็ลดลงตามลำดับ
ขณะเดียวกันไม่อาจปฏิเสธได้เช่นกันเกี่ยวกับข่าวอื้อฉาวการทุจริตไม่ว่าจะโดยทางตรงหรือทางอ้อมของบุคคลที่เกี่ยวพันกับคสช. รัฐบาล หรือคนในแม่น้ำ 5 สาย หรือแม้แต่คนใกล้ชิดของผู้นำอำนาจรัฐเอง ซึ่งถือเป็นจุดอ่อนที่รัฐบาลจะต้องแก้ไขไม่ให้เกิดขึ้นซ้ำซาก
ขณะที่ นพ.ประเวศ มองว่าการสร้างความปรองดองในชาติที่ดำเนินการโดยอำนาจรัฐขณะนี้คงจะล้มเหลวเพราะขาดการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนอย่างแท้จริง
นอกจากปัญหาการขจัดทุจริตคอร์รัปชั่นที่ยังไม่เห็นผลงานที่ชัดเจน การปฏิรูปประเทศที่ควรเห็นผลงานเป็นรูปธรรมก่อนการเลือกตั้งก็ยังคาราคาซัง อาทิ การปฏิรูปตำรวจ การปฏิรูปการศึกษา ขณะที่การปฏิรูปเพื่อลดความเหลื่อมล้ำในสังคมและการแก้ปัญหาเศรษฐกิจระดับฐานรากยังเป็นโจทย์ท้าทายสำหรับอำนาจรัฐคสช.
ผลงานเดียวที่เห็นชัดเป็นรูปธรรมสำหรับคสช.มากที่สุดก็คือการยุติสงครามกลางเมืองนองเลือดและทำให้ประเทศพ้นจากภาวะรัฐล้มเหลวสิ้นเชิง รวมทั้งทำให้บ้านเมืองเกิดความสงบเรียบร้อยตลอดช่วงเกือบ 3 ปีที่ผ่านมา
จากเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของสองนักคิดอาวุโสอย่างน้อยก็เป็นเครื่องเตือนสติเชิงสร้างสรรค์จากกัลยาณมิตร ซึ่งอำนาจรัฐคสช.ควรเปิดใจกว้างหันกลับมาทบทวนแก้ไขจุดอ่อนปรับปรุงตัวเองและมุ่งหน้าสร้างผลงานการปฏิรูปประเทศด้านต่างๆ ให้เห็นผลเป็นรูปธรรมเพื่อคืนความสุขให้ประชาชนอย่างที่ประกาศไว้ ซึ่งจุดอ่อนประการหนึ่งของอำนาจรัฐที่ผ่านมาคือขาดการประชาสัมพันธ์ผลงานที่ชัดเจนให้ประชาชนรับรู้เข้าใจอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง ซึ่งหากอำนาจรัฐยังทำงานแบบเดิมๆ จนถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าพายเรือในอ่างอาจนำไปสู่วิกฤติศรัทธาของมหาชนซึ่งเท่ากับการยึดอำนาจเมื่อวันที่ 22 พ.ค. 2557 เสียของสูญเปล่า และที่อันตรายก็คือประชาชนจะหันกลับไปพึ่งพาระบอบธุรกิจการเมืองทุนสามานย์ในคราบประชาธิปไตยจอมปลอมอันจะเป็นการนำพาประเทศกลับไปสู่วังวนแห่งวงจรอุบาทว์อันเลวร้ายอีกครั้ง
ทีมข่าวการเมือง
