ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า
http://www.naewna.com/creative/261048
วันอาทิตย์ ที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2560, 02.00 น.
6 ขุนพลตัวแทนพรรคเพื่อไทยเข้าร่วมเวทีแสดงความเห็นเพื่อสร้างความปรองดองที่กระทรวงกลาโหม เมื่อสัปดาห์ที่แล้วโดยมีการส่งสัญญาณเป็นนัยภายใต้คำว่าต้องให้อภัยหากจะสร้างความปรองดอง
6 ขุนพลตัวแทนพรรคเพื่อไทยที่ร่วมเวทีแสดงความเห็นเพื่อความปรองดองประกอบด้วย พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ รักษาการหัวหน้าพรรค, คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์, นายโภคิน พลกุล, นายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการเลขาธิการพรรค, นายชัยเกษม นิติสิริ และ นายชูศักดิ์ ศิรินิล ตัวแทนพรรคเพื่อไทย
การร่วมเวทีครั้งนี้พรรคเพื่อไทยได้ยื่นข้อเสนอ 6 ข้อเพื่อการปรองดองประกอบด้วย 1.รัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ต้องจริงใจ มีความเข้าใจและมีองค์ความรู้ที่ถูกต้องในกระบวนการปรองดองและปราศจากอคติ 2.การปรองดองและการอยู่ร่วมกันอย่างสันตินั้น องค์กรของรัฐทุกองค์กรต้องยึดหลัก “นิติธรรม” ในการปฏิบัติหน้าที่และสิ่งที่ละเลยไม่ได้คือ “การให้อภัย” ซึ่งต้องเป็นไปในสองแนวทางคือ 1.ผู้ที่ได้ประโยชน์จากความขัดแย้งต้องเลิกคิดหาประโยชน์จากความขัดแย้ง ต้องไม่ย่ำยีผู้ที่เป็นเหยื่อของความขัดแย้งอีกต่อไป ส่วนผู้ที่ได้รับผลกระทบหรือเหยื่อของความขัดแย้งต้องปรับจิตใจตนเอง โดยยอมรับการให้อภัยต่อผู้ที่กระทำต่อตน 2.ผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายต้องยอมรับในกระบวนการยุติธรรมที่จะนำไปสู่ความสมานฉันท์ นั่นคือการนำการให้อภัยไปสู่การปฏิบัติต่อไป 3.ต้องมีการค้นหาสาเหตุของความขัดแย้งเพื่อการยอมรับและนำไปสู่การแก้ปัญหา
4.การกำหนดคู่ขัดแย้งต้องไม่พิจารณาแบบอัตวิสัยเพื่อโทษบางคนบางกลุ่ม หรือมุ่งไปที่สองพรรคการเมืองใหญ่และกลุ่มอิทธิพลใหญ่คือ กลุ่มเสื้อเหลือง กลุ่มกปปส.หรือกลุ่มเสื้อแดง 5.กระบวนการในการสร้างความปรองดองต้องพิจารณาและยอมรับในสาเหตุร่วมกัน การเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบให้เป็นไปตามหลักนิติธรรมและการหามาตรการเสริม “หลักนิติธรรม” เพื่อป้องกันการเกิดปัญหาในอนาคต 6.ควรจัดตั้ง “คณะกรรมการอิสระ” ที่มาจากทุกภาคส่วนมาเป็นผู้ดำเนินการในกระบวนการปรองดอง ต้องเปิดโอกาสให้นักวิชาการ สื่อมวลชน องค์กรภาคประชาชน และผู้ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งร่วมเสนอความคิดเห็นในเรื่องนี้ได้อย่างเสรี และผลสรุปของแนวทางการสร้างความปรองดองต้องเป็นข้อตกลงร่วมกันบนพื้นฐานของการคำนึงถึงคุณค่าและศักดิ์ศรีของมนุษย์อย่างเท่าเทียม ผูกพันกับหลักประชาธิปไตยและหลักนิติธรรมที่เป็นสากล ไม่ใช่เกิดจากการบังคับด้วยอำนาจ
จากข้อเสนอ 6 ข้อของพรรคเพื่อไทยส่อเจตนาซ่อนเงื่อนไขต่อรองการสร้างความปรองดองภายใต้คำว่า “ให้อภัย” โดยมีเป้าหมายสำคัญที่แท้จริงคือต้องการให้มีการนิรโทษกรรมลบล้างโทษความผิดให้กับ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯนักโทษหนีคุกคดีทุจริต และอาจจะรวมถึง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ ซึ่งเป็นน้องสาวของนายทักษิณ และพวกที่ตกเป็นจำเลยคดีโครงการรับจำนำข้าวที่มีการทุจริตมโหฬารและสร้างความเสียหายแก่ประเทศเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์เป็นมูลค่าหลายแสนล้านบาท รวมทั้งเหล่าแกนนำคนเสื้อแดงที่เป็นผู้ต้องหาก่อการร้ายเผาบ้านทำลายเมืองเมื่อปี 2553
แต่ดูเหมือนว่าการส่งสัญญาณต่อรองเพื่อแลกกับการปรองดองของพรรคเพื่อไทยจะสวนทางกับคสช. ซึ่งก่อนหน้านี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคสช. แสดงจุดยืนชัดเจนมาหลายครั้งแล้วว่า การปรองดองจะไม่มีการพูดถึงเรื่องการนิรโทษกรรม และต้องยึดหลักกฎหมายเป็นที่ตั้ง ส่วนหากผู้กระทำผิดยอมรับโทษความผิดตามกฎหมายแล้วจะมีการผ่อนผันโทษหรือไม่อย่างไรค่อยมาพิจารณากัน
ขณะที่ก่อนหน้านี้คณะกรรมการการเมืองของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ที่มี นายกล้านรงค์ จันทิก เป็นประธานได้เสนอร่าง พ.ร.บ.อำนวยการความยุติธรรมทางอาญาเกี่ยวกับมูลเหตุจูงใจทางการเมืองซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในแนวทางสร้างความปรองดองในลักษณะถอยคนละก้าวเสนอไปยังรัฐบาลเพื่อออกเป็นกฎหมายบังคับใช้ต่อไป โดยสาระสำคัญของร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้กำหนดให้ตั้งคณะกรรมการ 11 คน ที่มีอำนาจจำแนกคดีอาญาที่มีมูลเหตุจูงใจทางการเมืองแล้วส่งความเห็นลดหย่อนโทษหรือให้ประกันตัวเพื่อต่อสู้คดีในชั้นศาลและอัยการได้ อย่างไรก็ตาม จะไม่ครอบคลุมผู้ต้องหาคดีทุจริต คดีความผิดฐานหมิ่นเบื้องสูงตามมาตรา 112 ของกฎหมายอาญา หรือคดีอาญาร้ายแรงเกี่ยวกับความมั่นคง
เพราะฉะนั้นภายใต้สัญญาณปรองดองด้วยเงื่อนไขการให้อภัยของพรรคเพื่อไทยจึงเป็นปัญหาท้าทายทั้งต่อคสช. รวมทั้งมวลมหาประชาชนหลายล้านคนที่ครั้งหนึ่งเคยออกมาชุมนุมแสดงพลังครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์เพื่อต่อต้านการหักดิบผลักดันร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับสุดซอยที่มีเป้าหมายแอบแฝงมุ่งนิรโทษกรรมโทษความผิดให้กับนายทักษิณเพื่อจะได้กลับบ้านแบบเท่ๆ โดยไม่ต้องติดคุกโดยอ้างการสร้างความปรองดองบังหน้าจนนำไปสู่วิกฤตการณ์ทางการเมืองและจบลงด้วยการยึดอำนาจของคสช.มาแล้ว
