#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า
https://www.naewna.com/likesara/660070

วันอังคาร ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2565, 06.00 น.
บันทึกถึงพี่น้องชาวยุโรป หลายครั้งที่ผ่านมา ได้แสดงถึงความห่วงใย ต่อพี่น้องชาวยุโรปตะวันตกเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งได้แก่ ฟินแลนด์ สวีเดน กลัวว่าบ้านเมืองอันสวยงามของท่านจะกลายเป็นเถ้าถ่านและพังพินาศไปเหมือนยูเครน
จากนั้นก็ยังแสดงความห่วงใยไปยัง พี่มาครง แห่งฝรั่งเศส พี่ชูลส์ แห่งเยอรมนี และพี่ดรากีแห่งอิตาลี ให้ลองเหลียวมองไปอีก 5 ทิศบ้าง คือซ้าย ขวา(หน้า)หลัง ทิศบน ทิศล่าง
อย่ามองไปข้างหน้าอย่างเดียว เพราะทิศข้างหน้า คือ ทิศแห่งสงครามแห่งการให้ Hard Power เข้าถล่มทลายกัน จนเราอาจจะไม่ได้เห็นความสวยงามของหอไอเฟล,ประตูชัย, ถนนชองเซลิเซ่, พระราชวังเครมลิน, พระราชวังเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก, พิคคาดิลลี เซอร์คัส, พระราชวังบักกิงแฮม และออกซฟอร์ดสตรีท อีกต่อไป หากมีสงครามนิวเคลียร์เกิดขึ้น
จากนั้น ก็พาท่านไปล่องเรือชมดินแดนอันสวยงามแห่งชายฝั่งรอบทะเลบอลติก ซึ่งได้แก่ เดนมาร์ค นอร์เวย์ เยอรมนี เอสโตเนีย ลัตเวีย ลิทัวเนีย ผ่านเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กของรัสเซียไปยังฟินแลนด์ และมาจบที่กรุงสต๊อกโฮมของสวีเดน โดยยังไม่ได้บรรยายถึงความสวยงามของเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก มอสโก และภูมิประเทศอันสวยสดงดงามเช่นเดียวกันของประเทศรัสเซีย ประเทศที่เริ่มต้นใช้ Hard Power หรืออำนาจแห่งการทำลายล้างมาใช้กับยูเครน ราวกับอยู่ในสมัยร้อยปีที่แล้วของศตวรรษที่ผ่านมาในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 (1914-1918) และสงครามโลกครั้งที่ 2 (1939-1945)
นครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ตั้งมา 300 ปีเศษแล้ว ตั้งแต่ปี ค.ศ.1703 นับเป็นเมืองที่สวยงามมากเมื่อเทียบกับนครต่างๆ บนฝั่งทะเลบอลติกด้วยกัน เป็นเมืองมรดกโลกที่คัดสรรแล้ว โดย UNESCO เป็นศูนย์กลางประวัติศาสตร์ที่สำคัญของสหภาพโซเวียตรัสเซีย (USSR) และของสหพันธรัฐรัสเซีย (Russian Federation) มีพิพิธภัณฑ์ศิลปะที่ใหญ่ที่สุดในโลกอยู่ในนครนี้ นั้นก็ คือ Hermitage นั่นเอง
การไปเยือน นครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก นอกจากจะนั่งเรือสำราญล่องมาตามชายฝั่งทะเลบอลติกแล้ว ก็ยังอาจจะนั่งเครื่องบินมาจากมอสโก ปารีส ลอนดอน หรือแฟรงค์เฟิร์ตได้ทั้งนั้น รวมทั้งนั่งรถไฟไปกลับจากกรุงมอสโกด้วย แต่ที่น่าสนใจอีกเส้นทางหนึ่งก็คือ การนั่งเรือจากท่าเรือแม่น้ำแห่งกรุงมอสโก ล่องขึ้นเหนือและพักค้างคืนบนเรือ มาจนถึงท่าเรือแม่น้ำแห่งนครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก
ก่อนเรือจะเคลื่อนจากท่าเรือแม่น้ำหรือจะถึงท่าจุดหมายปลายทาง ก็จะมีวงดนตรีมาบรรเลงอยู่ริมท่าเรือ เพื่อบำรุงขวัญผู้โดยสารทางเรือให้สดชื่นไปกับการล่องแม่น้ำทางไกล
เช่นเดียวกันหากจะล่องแม่น้ำมอสควา ลงมาทางตะวันตกเฉียงใต้ของรัสเซียจนถึงเมืองVolgogard หรือ สตาลินกราดในอดีต เป็นเวลา 3 วัน 3 คืน ก็จะผ่านทัศนียภาพอันงดงามของระบบการขนส่งทางน้ำของรัสเซียซึ่งมองการณ์ไกลจัดให้เรือขนาด 5,000 ตัน ไม่ว่าจะเป็นเรือสินค้าหรือเรือรบสามารถวิ่งส่งสินค้า เครื่องอุปโภค-บริโภค ทหารและอาวุธยุทโธปกรณ์ถึงกันได้ จากภาคตะวันตกสู่ภาคตะวันออก โดยผ่านประตูยกระดับน้ำจำนวนมาก จากภาคเหนือทะเล Barents Sea แถบขั้วโลกเหนือลงมา ทะเลดำและทะเลแคสเปียน (Caspian) ทางภาคใต้โดยไม่ยาก
ซึ่งระหว่างทางก็จะมีเขื่อนและอ่างเก็บน้ำ เพื่อการป้องกันภัยแล้ง ป้องกันน้ำท่วม เพื่อการประมงและเพื่อการท่องเที่ยวพร้อมกันไปในตัวแบบเบ็ดเสร็จ เสียดายที่การเมืองไทยไม่นิ่ง จึงยังไม่มีรัฐบาลใด ได้ไปดูแบบอย่างของประเทศต่างๆ ในยุโรป ที่เขาทำเช่นนี้มาหลายร้อยปีแล้ว ของเรามีแต่การจ้องล้มรัฐบาล เพื่อชิงอำนาจกัน คอคอดกระ ไม่กี่กิโลเมตร จึงยังไม่ได้ทำสักที รวมทั้งการเชื่อมโยงทางน้ำระหว่างแม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำชี แม่น้ำมูล และแก้มลิง ป้องกันภัยแล้ง ป้องกันน้ำท่วมทั่วประเทศ ที่เชื่อมโยงกัน จึงยังไม่เกิดขึ้น
อย่างไรก็ดี ไหนๆ มาแวะชมรัสเซียแล้ว สิ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือการชมกรุงมอสโก นครหลวงของประเทศรัสเซียปัจจุบันซึ่งเป็นนครที่มีประชากรมากที่สุดในยุโรปเกือบ 20 ล้านคน และมีสถานที่สวยงามให้ชมมากมาย เช่น จัตุรัสแดง, พระราชวังเครมลิน, พระมหาวิหารนักบุญเบซิล, ระบบรถไฟใต้ดินที่สวยงามที่สุดในยุโรป เป็นต้น สมัยเป็น USSR ก็จะต้องสั่งอาหารมีชื่อของสหภาพโซเวียตมาทาน อันได้แก่ Chicken à la kiev (หรือไก่อบแบบกรุงเคียฟของยูเครน) มาทาน หากหั่นไม่ระวัง เนยร้อนๆ ก็จะโดดเข้าใส่หน้าท่านหรือ เสื้อนอกของท่านทันที
การจะมาเยือนรัสเซีย ประเทศที่สวยงามและมีอำนาจมากที่สุดประเทศหนึ่งของโลกจากคนในเอเชีย นอกจากจะมาทางเครื่องบิน ทางเรือสำราญทะเลและทางแม่น้ำแล้ว ยังมาได้ทางรถไฟสายทรานส์ไซบีเรียอีกทางหนึ่ง โดยเริ่มต้นที่เมืองวลาดิวอสตอค ซึ่งอยู่ตะวันออกสุดของทวีปเอเชีย ไม่ไกลจากจีนและเกาหลีเหนือนักหรืออาจจะขึ้นรถไฟจากปักกิ่งมายังฮาร์บิน แล้วเข้าไปเชื่อมต่อรถไฟสายทรานส์ไซบีเรียก็จะสามารถเดินทาง นั่งกิน นอนหลับ ชม 2 ฝั่งทางรถไฟ มาจนถึงกรุงมอสโก หรือนครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กได้เช่นกัน
นอกเหนือจากการเป็นประเทศที่ใหญ่โต มีประวัติศาสตร์อันยาวนานแล้ว ยังมีวัฒนธรรมศิลปกรรม นวัตกรรม อีกมากมายที่นับเป็น Soft Power อันยิ่งใหญ่ของรัสเซีย รวมทั้งการมีผลิตภัณฑ์อุปโภค-บริโภคป้อนชาวยุโรปและชาวโลกอีกจำนวนมาก ได้แก่ ข้าวสาลี น้ำมันบริโภค พลังงานน้ำมัน แก๊ส จึงเป็นสิ่งที่น่าคิด ว่าพี่ปูไม่ได้คิดใช้ Soft Power ในการแก้ปัญหายูเครน ซึ่งขณะนี้ได้กลายเป็นปัญหาของโลกไปแล้ว
โลกกำลังเผชิญกับภาวะการขาดแคลนอาหาร ขาดแคลนพลังงาน ภาวะเงินเฟ้อ ผู้คนกำลังจะอดตายและลำบากกันทั่วโลก เพราะพี่ปูเห็นว่าลุงโจมาทาง Hard Power ก็เลยใช้Hard Power ตอบโต้ไป ผู้คนทั้งโลกจึงกำลังเดือดร้อนและจะเดือดร้อนมากขึ้นเรื่อยๆ
หากพี่ปู หันมาใช้ Soft Power ที่พี่ปูมีอยู่เหลือเฟือ มาใช้ให้เป็นประโยชน์กับประเทศสมาชิก NATO โดยเชิญเขาเข้ามาเป็นสมาชิกสนธิสัญญาสันติภาพและการพัฒนายุโรป หรือ อีกองค์การหนึ่งกับเอเชียอาคเนย์ก็ได้ ให้อภิสิทธิ์ในการซื้อ-ขายข้าวสาลี น้ำมันดอกทานตะวัน แก๊ส น้ำมัน ในราคาที่ดีกว่าการซื้อจากลุงโจ แล้วมีเงื่อนไขในสนธิสัญญาว่าจะไม่รุกรานซึ่งกันและกัน
โดยใช้กำลังแต่จะใช้หลักกฎหมายระหว่างประเทศและศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ประเทศเหล่านั้นก็คงจะเลิกคบลุงโจ ซึ่งการใช้เงินซื้ออาวุธจาก ลุงโจ เอาเงินมาซื้อข้าวสาร ถ่าน ไฟ จากพี่ปูแล้วเอามาพัฒนายุโรป หรือทวีปของตนให้สงบสุข มีสันติภาพและรุ่งเรืองก้าวหน้าต่อไปก็น่าจะได้ผลดีกว่า
เดี๋ยวนี้สนธิสัญญามีมากมาย สลับทับซ้อนกันไม่ว่าจะเป็น Indo Pacific Economic Framework (IPEF) หรือ BRICS หรือ AUKUS หรืออะไรต่อมิอะไร เข้าไปอันไหนได้ประโยชน์ด้านกินดีอยู่ดีและความมีสันติสุขของพลเมืองของตน ประเทศต่างๆ ก็น่าจะอยากเข้าไปอยู่ด้วยมากกว่าที่จะเข้าไปเพื่อจ่ายเงินซื้อปืน จรวด และอาวุธจากพี่โจ แล้วเอามาทำลายล้างซึ่งกันและกัน ลองคิดดูนะพี่ปู ยังไม่สายไปดอกนะ
ขณะนี้พี่โจกำลังเรียกประชุมเพื่อนบ้านที่อยู่ในทวีปเดียวกัน มีมาประชุมกันมากมายตั้งแต่แคนาดา, เม็กซิโก, บราซิล, ชิลี, อาร์เจนตินา ฯลฯ เพื่อหาทางพัฒนาไปด้วยกันก็เหมือนกับหัวหน้าหมู่บ้านในเอเชียไม่ว่าจะเป็นกำปงหรือหมู่บ้านจัดสรร ก็ต้องมีการพบปะหารือกันพัฒนาหมู่บ้านที่ตนอยู่ ให้รั้วรอบขอบชิดไม่มีขโมย ไม่มีน้ำท่วม น้ำไหล ไฟสว่าง ทุกคนในหมู่บ้านก็จะอยู่กันอย่างสงบสุข แต่พี่ปูไม่ใช้ไม้นวมกับลูกบ้านเดียวกันเสียเลย เอะอะก็เอาแต่ Hard Power เข้าหากัน จึงเปิดโอกาสให้พี่โจเข้ามาเป็นหัวเรือใหญ่ในหมู่บ้านยุโรปของพี่ปู เขาก็ถือโอกาสขายอาวุธเอากำไรท่าเดียว ส่วนหมู่บ้านจะแย่อย่างไรฉันไม่เกี่ยว ฉันอยู่ไกลกระสุนปืนใหญ่ หรือกระสุนรถถังไปไม่ถึง (ยกเว้นอาวุธปรมาณูอย่างเดียว)
ถ้าพี่ปูลองคิดถึง Theory of Subcontination ให้ดี แล้วพี่ปูจะได้คิดว่า การอยู่อย่างสันติกับคนในหมู่บ้านเดียวกันนั้นมันแสนจะนอนตาหลับ หลักโลกาภิวัตน์ (globolization) นั้น สลายไปจากโลกแล้วโดยพี่โคแนลด์
แล้วพี่โจ ก็มาทำลายต่อโดยทำสงครามการค้ากับพี่สี ตอนนี้ ประเทศทุกย่านในโลกควรจะไปสู่ Theory of Sub-contination กันได้แล้ว ให้พี่โจอยู่สบายกับพรรคพวกในทวีปอเมริกา
พี่ปูก็อยู่สบายกับพรรคพวกในยุโรป ดูแลกันโดยใช้หลักเมตตาธรรม หลักการพรหมวิหารสี่ (Four sublime
states of mind) พี่สีก็อยู่สบายกับเพื่อนบ้าน เช่น มองโกเลีย พม่า เขมร ญวน ลาว ส่วนพี่ยุ่นจะตั้งอีกหมู่บ้านหนึ่งกับเกาหลีใต้ ฟิลิปปินส์ ก็ไม่มีใครห้ามอยู่แล้ว
พี่ๆ ทั้งหลายลองเอาไปคิดดูก็แล้วกัน แล้วโลกเราก็จะน่าอยู่ขึ้นอีกมาก
หากไม่เข้าไปหักหาญทำลายล้างกันด้วย Hard Power หรือด้วยอาวุธปรมาณู
ศิริภูมิ