แตกใบอ่อน : น้ำยา-น้ำยาง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/197270

807934531

วันพฤหัสบดี ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2559, 06.00 น.

เรียบร้อยโรงเรียนทหารไปอีกราย ภายหลังจากคณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 12 มกราคม เห็นชอบรายชื่อบอร์ดการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) ซึ่งปรากฏชื่อ พล.อ.ฉัตรเฉลิม เฉลิมสุข อดีตเสนาธิการทหารบก ผงาดขึ้นมานั่งเก้าอี้ประธาน ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจอะไร เพราะก่อนหน้านี้มีการส่งสัญญาณออกมาเป็นระยะถึงความ “ไม่แฮบปี้” ของนายกฯ ต่อการทำงานแก้ไขปัญหายางพาราของกยท. รวมทั้งกระทรวงเกษตรฯที่ล่าช้าจนถึงระดับที่เรียกว่า “อืดอาด”

“รัฐบาลนี้วางมาตรการไปครบทุกด้าน 16 มาตรการ ช่วยทั้งเกษตรกรสวนยางและผู้ประกอบการ อนุมัติเงินกู้ไปแล้วกว่า 5 หมื่นล้านบาท แต่ไม่มีความก้าวหน้า คณะกรรมการร่วมมือพัฒนายางพาราทั้งระบบก็อ้างว่าติดขัด ขณะที่กยท.เองก็ไม่คิดหาทางออก ถ้าผมไม่สั่งก็คงไม่ประชุมขับเคลื่อนกัน โดยเฉพาะการจ่ายเงินสร้างความเข้มแข็งให้เกษตรกรเจ้าของสวนยางและคนกรีดยางไร่ละ 1,500 บาท ผมสั่งให้เป็นของขวัญปีใหม่ แต่ตอนนี้ยังจ่ายไม่ถึง 20% เรื่องนี้ นายกฯท่านโกรธมาก ท่านบอกว่าต่อไปใครไม่ทำเรื่องยาง จะเอาจริงแล้ว จะใช้ ม.44 สั่งย้ายภายใน 24 ชั่วโมง”

นี่เป็นคำยืนยันจากปาก พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รมว.เกษตรและสหกรณ์ ที่ชี้วัดได้เป็นอย่างดีถึงระดับความไม่พอใจของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ว่า สูงมากแค่ไหนต่อการทำงานที่ล่าช้าของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

อย่างไรก็ตาม การส่งขุนทหารเข้ามานั่งคุมเกมขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหายางพาราของนายกฯครั้งนี้ หากพูดกันตามเนื้อผ้าจริงๆ นอกจากบรรดาทหารนายกองและคนในรัฐบาลแล้ว ก็คงไม่มีใครมั่นใจหรือกล้ารับประกันได้เต็มร้อยว่า การสู้รบกับปัญหายางพารา ทหารจะเอาอยู่ได้หรือไม่

เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่า ปัญหายางพาราของประเทศไทย ไม่ได้เชื่อมโยงเพียงแค่ผลกระทบจากภาวะความผันผวนของราคาน้ำมันและเศรษฐกิจโลกเท่านั้น แต่เบื้องหลังยังเต็มไปด้วยกลุ่มผลประโยชน์ทั้งฝ่ายการเมือง พ่อค้า ที่แอบแฝงอยู่ทั้งในพื้นที่ และสร้างอิทธิพลอยู่เต็มเกลื่อนอยู่ในกระทรวงเกษตรและสหกรณ์

หรือแม้แต่ในกยท.เอง ซึ่งแม้จะเป็นองค์กรเกิดใหม่ภายใต้พ.ร.บ.การยางแห่งประเทศไทย ที่เพิ่งประกาศใช้ไปไม่นานมานี้ แต่ต้องไม่ลืมว่ากลไกที่ถูกนำมาใช้ขับเคลื่อนงานของ กยท. นั้น ล้วนมาจากการควบรวมของ 2 หน่วยงาน คือ องค์การสวนยาง (อสย.) และสำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง (สกย.) ซึ่งที่ผ่านมาทั้งกลุ่มการเมือง พ่อค้า ธุรกิจผลประโยชน์ ต่างก็พยายามใช้อำนาจแทรกแซงเข้ามาใน 2 องค์กรนี้ เพื่อสูบเลือดหาผลประโยชน์ให้กับตัวเองมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน

แล้วเมื่อมีการเปลี่ยนมาเป็น กยท. มีหรือที่กลุ่มผลประโยชน์เหล่านี้จะไม่ตามมาสูบเลือดต่อ

ตัวอย่างไม่ต้องดูที่ไหนไกล เพียงแค่การทำสัญญาขายยาง 2 แสนตันให้กับ บริษัทซิโนเคม ของจีน 2 แสนตัน ซึ่งแทนที่ กยท. จะสามารถหยิบเอามาประเดิมเป็นผลงานชิ้นแรก เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่เกษตรกรในการบริหารยางอย่างครบวงจรในอนาคต แต่กลับกลายเป็นถูกชาวสวนยางออกมาตั้งข้อสงสัยและถล่มอย่างหนักถึงเบื้องหน้าเบื้องหลังที่อาจมีการเอื้อให้กับเอกชน จนทำให้ราคายางในประเทศถึงกับดิ่งเหว กระทั่งลามปามจนถึงขั้นชาวสวนยางนัดกันออกมาแต่ง
ชุดดำเพื่อขับไล่ พล.อ.ฉัตรชัย ออกจากเก้าอี้ รมว.เกษตรฯ และไล่ นายเชาว์ ทรงอาวุธ ออกจากเก้าอี้รักษาการผู้ว่าการ กยท.

นี่ยังไม่รวมถึงวิกฤติศัทธาของรัฐบาล อันเกิดจากการแสดงท่าทีที่ไม่เป็นมิตรของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ทั้งทุบทั้งขู่ชาวสวนยางในก่อนหน้านี้ จนเกิดกระแสความไม่พอใจลามออกไปอย่างกว้างขวางเสียยิ่งกว่าไฟลามทุ่ง

สถานการณ์ดังกล่าว จึงสะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่า คนที่จะเข้ามาคุมสถานการณ์ยางในประเทศได้ จำเป็น
อย่างยิ่งที่ต้องมีคุณสมบัติครบเครื่องทั้ง “บุ๋น” และ “บู๊” ซึ่งเรื่องบู๊คงไม่มีใครปฏิเสธความสามารถของ พล.อ.ฉัตรเฉลิม

ที่เหลือก็คงต้องดูฝีมือเรื่อง “บุ๋น” ของ พล.อ.ฉัตรเฉลิม รวมทั้ง กยท.อีก 7 คน ว่าจะมี “น้ำยา” ขับเคลื่อนอนาคตยางพาราของประเทศได้มากน้อยขนาดไหน

มะลิลา

Leave a comment