ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า
http://www.naewna.com/local/197270

เรียบร้อยโรงเรียนทหารไปอีกราย ภายหลังจากคณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 12 มกราคม เห็นชอบรายชื่อบอร์ดการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) ซึ่งปรากฏชื่อ พล.อ.ฉัตรเฉลิม เฉลิมสุข อดีตเสนาธิการทหารบก ผงาดขึ้นมานั่งเก้าอี้ประธาน ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจอะไร เพราะก่อนหน้านี้มีการส่งสัญญาณออกมาเป็นระยะถึงความ “ไม่แฮบปี้” ของนายกฯ ต่อการทำงานแก้ไขปัญหายางพาราของกยท. รวมทั้งกระทรวงเกษตรฯที่ล่าช้าจนถึงระดับที่เรียกว่า “อืดอาด”
“รัฐบาลนี้วางมาตรการไปครบทุกด้าน 16 มาตรการ ช่วยทั้งเกษตรกรสวนยางและผู้ประกอบการ อนุมัติเงินกู้ไปแล้วกว่า 5 หมื่นล้านบาท แต่ไม่มีความก้าวหน้า คณะกรรมการร่วมมือพัฒนายางพาราทั้งระบบก็อ้างว่าติดขัด ขณะที่กยท.เองก็ไม่คิดหาทางออก ถ้าผมไม่สั่งก็คงไม่ประชุมขับเคลื่อนกัน โดยเฉพาะการจ่ายเงินสร้างความเข้มแข็งให้เกษตรกรเจ้าของสวนยางและคนกรีดยางไร่ละ 1,500 บาท ผมสั่งให้เป็นของขวัญปีใหม่ แต่ตอนนี้ยังจ่ายไม่ถึง 20% เรื่องนี้ นายกฯท่านโกรธมาก ท่านบอกว่าต่อไปใครไม่ทำเรื่องยาง จะเอาจริงแล้ว จะใช้ ม.44 สั่งย้ายภายใน 24 ชั่วโมง”
นี่เป็นคำยืนยันจากปาก พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รมว.เกษตรและสหกรณ์ ที่ชี้วัดได้เป็นอย่างดีถึงระดับความไม่พอใจของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ว่า สูงมากแค่ไหนต่อการทำงานที่ล่าช้าของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
อย่างไรก็ตาม การส่งขุนทหารเข้ามานั่งคุมเกมขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหายางพาราของนายกฯครั้งนี้ หากพูดกันตามเนื้อผ้าจริงๆ นอกจากบรรดาทหารนายกองและคนในรัฐบาลแล้ว ก็คงไม่มีใครมั่นใจหรือกล้ารับประกันได้เต็มร้อยว่า การสู้รบกับปัญหายางพารา ทหารจะเอาอยู่ได้หรือไม่
เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่า ปัญหายางพาราของประเทศไทย ไม่ได้เชื่อมโยงเพียงแค่ผลกระทบจากภาวะความผันผวนของราคาน้ำมันและเศรษฐกิจโลกเท่านั้น แต่เบื้องหลังยังเต็มไปด้วยกลุ่มผลประโยชน์ทั้งฝ่ายการเมือง พ่อค้า ที่แอบแฝงอยู่ทั้งในพื้นที่ และสร้างอิทธิพลอยู่เต็มเกลื่อนอยู่ในกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
หรือแม้แต่ในกยท.เอง ซึ่งแม้จะเป็นองค์กรเกิดใหม่ภายใต้พ.ร.บ.การยางแห่งประเทศไทย ที่เพิ่งประกาศใช้ไปไม่นานมานี้ แต่ต้องไม่ลืมว่ากลไกที่ถูกนำมาใช้ขับเคลื่อนงานของ กยท. นั้น ล้วนมาจากการควบรวมของ 2 หน่วยงาน คือ องค์การสวนยาง (อสย.) และสำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง (สกย.) ซึ่งที่ผ่านมาทั้งกลุ่มการเมือง พ่อค้า ธุรกิจผลประโยชน์ ต่างก็พยายามใช้อำนาจแทรกแซงเข้ามาใน 2 องค์กรนี้ เพื่อสูบเลือดหาผลประโยชน์ให้กับตัวเองมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน
แล้วเมื่อมีการเปลี่ยนมาเป็น กยท. มีหรือที่กลุ่มผลประโยชน์เหล่านี้จะไม่ตามมาสูบเลือดต่อ
ตัวอย่างไม่ต้องดูที่ไหนไกล เพียงแค่การทำสัญญาขายยาง 2 แสนตันให้กับ บริษัทซิโนเคม ของจีน 2 แสนตัน ซึ่งแทนที่ กยท. จะสามารถหยิบเอามาประเดิมเป็นผลงานชิ้นแรก เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่เกษตรกรในการบริหารยางอย่างครบวงจรในอนาคต แต่กลับกลายเป็นถูกชาวสวนยางออกมาตั้งข้อสงสัยและถล่มอย่างหนักถึงเบื้องหน้าเบื้องหลังที่อาจมีการเอื้อให้กับเอกชน จนทำให้ราคายางในประเทศถึงกับดิ่งเหว กระทั่งลามปามจนถึงขั้นชาวสวนยางนัดกันออกมาแต่ง
ชุดดำเพื่อขับไล่ พล.อ.ฉัตรชัย ออกจากเก้าอี้ รมว.เกษตรฯ และไล่ นายเชาว์ ทรงอาวุธ ออกจากเก้าอี้รักษาการผู้ว่าการ กยท.
นี่ยังไม่รวมถึงวิกฤติศัทธาของรัฐบาล อันเกิดจากการแสดงท่าทีที่ไม่เป็นมิตรของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ทั้งทุบทั้งขู่ชาวสวนยางในก่อนหน้านี้ จนเกิดกระแสความไม่พอใจลามออกไปอย่างกว้างขวางเสียยิ่งกว่าไฟลามทุ่ง
สถานการณ์ดังกล่าว จึงสะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่า คนที่จะเข้ามาคุมสถานการณ์ยางในประเทศได้ จำเป็น
อย่างยิ่งที่ต้องมีคุณสมบัติครบเครื่องทั้ง “บุ๋น” และ “บู๊” ซึ่งเรื่องบู๊คงไม่มีใครปฏิเสธความสามารถของ พล.อ.ฉัตรเฉลิม
ที่เหลือก็คงต้องดูฝีมือเรื่อง “บุ๋น” ของ พล.อ.ฉัตรเฉลิม รวมทั้ง กยท.อีก 7 คน ว่าจะมี “น้ำยา” ขับเคลื่อนอนาคตยางพาราของประเทศได้มากน้อยขนาดไหน
มะลิลา