ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า
http://www.naewna.com/local/199373
อากาศหนาวเย็นยะเยือก อุณหภูมิลดต่ำลงอย่างรวดเร็วนับ 10 องศา ในช่วง 2-3 วันมานี้ ได้กลายเป็นพิบัติ “ภัยหนาว” ในหลายพื้นที่ชนบทของประเทศไทย ซ้ำเติมความเดือดร้อนพี่น้องเกษตรกรจำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะกับการสูญเสียทั้งชีวิตผู้คนและสัตว์เลี้ยงที่ต้องล้มตายด้วยภาวะ“ช็อก”จากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง หนาวเย็นแบบเฉียบพลัน
แม้จะมีเสียงเตือนออกมาจากกรมอุตุนิยมวิทยาล่วงหน้าบ้าง แต่ก็กระชั้นมาก จนชาวบ้านเองก็อาจจะได้รับทราบข้อมูลไม่ทั่วถึง หรือคาดไม่ถึงต่อ“ภัยหนาว”ที่มาแบบสายฟ้าแลบเช่นนี้ จนเตรียมตัวแก้ไขอะไรไม่ทัน หรือไม่รู้จะป้องกันอย่างไร
หนาวๆแบบนี้ ทำให้อดเชื่อมโยงถึงเรื่องของ “ไฟ” ตามมาไม่ได้ เพราะวิธีแก้หนาวแบบพื้นๆประสาชาวบ้านทั่วไป โดยเฉพาะในชนบท ย่อมหนีไม่พ้นเรื่องก่อไฟผิง และเห็นมีข่าวว่า ทาง คสช.ก็ได้สั่งการให้หน่วยงานต่างๆช่วยกันดูแล ย้ำเตือนประชาชนเพิ่มความระมัดระวังเรื่องของอัคคีภัยที่อาจจะเกิดขึ้นตามมา ยิ่งโดยเฉพาะเมื่อไทยเรากำลังเผชิญกับสถานการณ์“ภัยแล้ง” ที่สาหัสอยู่ หากเกิดเพลิงไหม้ขึ้น ก็จะยิ่งเสียหายได้รุนแรงมาก เพราะขาดน้ำที่จะใช้ดับเพลิง
เพราะฉะนั้น ในฐานะสื่อ ก็ขอเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยย้ำกระตุ้น ให้ทุกฝ่ายช่วยกันระวังป้องกันให้จงหนักเรื่อง“อัคคีภัย”
ในช่วงนี้ ด้วยอากาศทั้งหนาว ทั้งแห้ง ทั้งแล้ง เสี่ยงต่อการเกิดไฟไหม้ยิ่งนัก
เมื่อว่าถึง”อัคคีภัย” ก็ต้องเชื่อมโยงไปอีก ถึงปัญหา”ไฟป่าและควันพิษ”ที่เกิดขึ้นเป็นประจำทุกปี ในช่วงนี้ตั้งแต่เดือนม.ค.-เม.ย. ที่อยู่ในหน้าแล้ง โดยเฉพาะพื้นที่ทางภาคเหนือ ซึ่งปีที่แล้วมีปัญหาที่รุนแรงสาหัสที่สุดเป็นประวัติการณ์ จนกลายเป็นเรื่องระดับชาติที่ส่งผลกระทบไปหลายภาคส่วน ไม่ว่าเรื่องสิ่งแวดล้อม เรื่องสุขภาพประชาชนที่ต้องเจ็บป่วยกันมากมาย ผลกระทบรุนแรงต่อธุรกิจท่องเที่ยว ซ้ำเติมเศรษฐกิจให้ยิ่งเสียหายหนัก เป็นต้น
มาปีนี้ รัฐบาล คสช.จึงตระหนักดีว่า ต้องเร่งมือวางมาตรการป้องกันและแก้ไขจริงจัง ไม่ให้เกิดปัญหาร้ายแรงเหมือนปีที่ผ่านมาอีก เพราะถ้ายังเกิดซ้ำซาก ย่อมกลายเป็นจุดโจมตีให้รัฐบาล คสช.เสียความนิยมยิ่งขึ้น ขณะที่“ภัยแล้ง”และการขาดน้ำที่หนักหน่วงกว่าปีก่อน ก็ยิ่งเป็นความเสี่ยงที่จะทำให้สถานการณ์เลวร้ายได้ง่ายๆ ถ้าเกิดไฟป่าและการเผาป่าขึ้นมา
พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกฯบอก รัฐบาลเตรียมพร้อมรับมือปัญหาหมอกควันและไฟป่า
ทั่วประเทศ โดยเฉพาะพื้นที่ภาคเหนือ 9 จังหวัด ที่มักเกิดวิกฤติทุกปีช่วงม.ค.-เม.ย.ได้แก่ เชียงใหม่ เชียงราย น่าน แพร่ พะเยา แม่ฮ่องสอน ลำพูน ลำปาง และตาก ด้วยภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นแอ่งกระทะ ประชาชนมักเผาวัชพืชและวัสดุการเกษตรเตรียมพื้นที่เพาะปลูก หรือเกิดไฟป่า
โดยกำหนดให้แต่ละจังหวัดใช้กลไก “ประชารัฐ”มาแก้ไขปัญหา ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดและนายอำเภอ ทำหน้าที่บูรณาการ
ความร่วมมือกับทุกหน่วยงานทั้งฝ่ายพลเรือน ทหาร องค์การปกครองท้องถิ่น ตำรวจตระเวนชายแดน ภาคเอกชน และประชาชน แบ่งหน้าที่และพื้นที่รับผิดชอบ เฝ้าระวัง ระดมกำลังคน จัดหาอุปกรณ์ ระงับการเผาป่า จัดทำมาตรการบรรเทาผลกระทบ และประชาสัมพันธ์สร้างจิตสำนึกร่วมกันในการป้องกันปัญหา
ทั้งนี้ มีการแบ่งพื้นที่รับผิดชอบชัดเจนคือ 1.พื้นที่เกษตรกรรม ให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหลัก ร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รณรงค์ให้ไถกลบตอซังและใช้สารย่อยสลายแทนการเผา ใช้กลไกควบคุมกันเองในชุมชน เช่น ประกาศเขตห้ามเผา 90 วัน เป็นต้น 2.พื้นที่ป่าอนุรักษ์และป่าสงวนแห่งชาติ มีกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯเป็นหลัก ทหาร องค์การปกครองท้องถิ่น และประชาชน จัดทำแนวป้องกันไฟป่า ลาดตระเวน และบังคับใช้กฎหมายกับผู้กระทำผิดโดยเคร่งครัด 3.พื้นที่ริมทางหลวง มีกระทรวงคมนาคม เป็นหลัก ควบคุมไม่ให้มีการเผาในเขตทางหลวง จัดชุดลาดตระเวนเฝ้าระวัง ซึ่งนายกฯประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังกำชับให้ทุกหน่วยงานดำเนินการตามแผนอย่างเคร่งครัด และมีเอกภาพ เน้นทำงานเชิงรุก
นับได้ว่า รัฐบาลวางมาตรการและแบ่งความรับผิดชอบอย่างดีแล้ว ทั้งยังหวังความร่วมมือจากภาคเอกชนและประชาชนด้วยกลไก“ประชารัฐ”มาแก้ไขไฟป่าและหมอกควันพิษให้ได้ผลยิ่งขึ้นด้วย… ก็ต้องเอาใจช่วยกันเต็มที
ที่สำคัญขอให้กวดขัน ให้มีการทำตามมาตรการที่วางไว้อย่างจริงจังด้วย เพราะปีที่แล้ว ก็มีการวางมาตรการล่วงหน้าเหมือนกัน แต่ไม่รู้หย่อนยานตรงไหน ปัญหาถึงวิกฤติสุดๆ…ขออย่าให้ซ้ำรอยอีก
สาโรช บุญแสง
