ปัจจุบันมีแนวโน้มการเกิดโรคในเด็กมากมาย โรงพยาบาลสมิติเวช ศรีนครินทร์ ตระหนักถึงความสำคัญในการดูแลรักษาให้ตรงจุด จึงร่วมกับ Doernbecher Children’s Hospital โรงพยาบาลเด็กชั้นนำในสหรัฐอเมริกาในการแลกเปลี่ยนความรู้พร้อมพัฒนาการแพทย์และบุคลากรให้ก้าวสู่ความเป็นเลิศด้านการรักษาแบบองค์รวม นับเป็นสร้างมิติใหม่ในการดูแลสุขภาพเด็ก

แพทย์หญิงสุรางคณา เตชะไพบูลย์ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเด็กสมิติเวช ศรีนครินทร์ เผยถึงการร่วมมือครั้งนี้ ว่า“ตลอดระยะเวลา 1 ปีที่ผ่าน ทางโรงพยาบาลเด็กสมิติเวชได้ร่วมมือกับทาง DoernbecherChildren’s Hospital ในการแลกเปลี่ยนความรู้ ซึ่งปีนี้เราเน้นการดูแลเด็กในภาวะวิกฤติ โดยเราเริ่มส่งแพทย์และพยาบาลไปศึกษาเพิ่มเติมเรื่องเด็กที่ สหรัฐอเมริกา เพื่อเพิ่มพูนประสบการณ์ในการดูแลผู้ป่วยและการผ่าตัดในเด็กและทารกแรกเกิดที่เน้นการผ่าตัดแบบแผลเล็กเจ็บน้อยให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ”

นอกจากนี้ยังมีการร่วมมือกันในการทำประโยชน์เพื่อสังคมในด้าน CSR ทางโรงพยาบาลจัดตั้งโครงการ New Life กองทุนสมิติเวชเพื่อชีวิตใหม่ ในการเข้าช่วยดูแลการผ่าตัดเด็กๆ ด้อยโอกาส โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย เมื่อปีที่ผ่านมาได้ผ่าตัดหัวใจเด็กจำนวน 111 ราย จากการคัดกรองมูลนิธิผู้ป่วยโรคหัวใจ โดยสมิติเวชได้ร่วมมือกับ Doernbecher Children’s Hospital เข้ามาช่วยดูแลการผ่าตัดเด็กให้มีการทำงานได้ดียิ่งขึ้น

โดยปีนี้เราจะมีการเปิดตัวกองทุนสมิติเวชเพื่อแก้ไขกระดูกสันหลังคดในเด็กเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กำลังจะมีการคัดกรองผู้ป่วย ถือเป็นการร่วมมือกับของโรงพยาบาลทั้ง 2 แห่ง เพื่อนำความเชี่ยวชาญมาเชื่อมโยงความรู้ เพิ่มพูนประสบการณ์ การแลกเปลี่ยนร่วมกันด้านวิชาการ ตลอดจนถึงการทำการวิจัยถึงแม้จะเป็นจุดเริ่มต้น แต่ถือว่าเป็นจุดที่จะก้าวต่อไป ซึ่งทั้งหมดเราทำเพื่อต้องการดูแลคนไข้เด็กให้ดีที่สุด

“การร่วมมือของโรงพยาบาลมีเป้าหมายเพื่อความเป็นเลิศการดูแลเด็ก ทางด้านการแพทย์ต้องการยกระดับมาตรฐานบุคลากร เทคโนโลยี วิทยาการ ในการรักษา ผู้ป่วยเด็กทารกวิกฤติ (NICU) และผู้ป่วยเด็กวิกฤติ (PICU) นอกจากนี้เน้นการดูแลจิตใจให้เข้มแข็งแบบองค์รวม โดยทำงานร่วมกับสหสาขาวิชาชีพตั้งแต่แพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่เป็นการทำงานร่วมกัน ซึ่งโรงพยาบาลในต่างประเทศทำมานานแล้ว เราเพิ่งเริ่มนำมาใช้ในประเทศไทย รวมถึงต้องการพัฒนาบุคลากรด้านการดูแลเด็กให้มีองค์ความรู้ สามารถนำสื่อสารแลกเปลี่ยนกันได้ และร่วมกันทำวิจัยเพื่อพัฒนาศักยภาพทางด้านการแพทย์ในอนาคต”