ศิกวัสส์ ลือโสภณ แฮร์สไตลิสต์คิวทอง กับชีวิตที่ไม่ได้เดินตามฝัน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/lady/202037

วันเสาร์ ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559, 06.00 น.
อาชีพในฝันคือ “นักโฆษณา” หลังจากจบปริญญาตรีคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เขาจึงมุ่งมั่นตามฝันด้วยการไปเรียนต่อปริญญาโทที่ SOAS University of London,Marketing communication จนกระทั่งเทอมสุดท้ายของการศึกษามีเหตุให้ ศิกวัสส์ ลือโสภณ ไม่สามารถคว้าปริญญาโทมาได้ดั่งใจหวังจังหวะชีวิตช่วงนั้นเหมือนเจอมรสุมลูกใหญ่ แต่ “แม่” คือคนที่เข้ามาฉุดให้เขาตื่นจากฝันร้าย และเริ่มต้นชีวิตใหม่แม้จะไม่ใช่ทางที่หวัง แต่เขาก็ตั้งใจทำเพราะความรักและความกตัญญูต่อผู้เป็นแม่

“แม่เป็นช่างทำผม มีร้านอยู่ฝั่งธนบุรีมีสองสาขา เขาทำอยู่สองคนกับน้าชาย ชื่อร้าน พิสมัย เป็นชื่อของแม่ ตั้งแต่เด็กตั้งธงไว้ในใจว่า ฉันจะไม่เป็นช่างทำผมเหมือนแม่แน่นอน เพราะตอนเด็กๆ ต้องช่วยแม่ล้างแกนดัดผมเป็นกะละมังใหญ่ๆ เพราะแม่มีฝีมือ ลูกค้าเยอะ แต่พอไปเรียนโทไม่จบ ได้แต่ใบ Diploma มา ชีวิตแบบทุกอย่างถล่มทลาย เพราะเราไปเรียนด้วยเงินของที่บ้าน เราไม่ใช่คนร่ำรวย คิดว่าพ่อ-แม่ต้องเสียใจที่เราเรียนไม่จบ จนแม่บอกว่าไม่เป็นไร ไหนๆ ก็อยู่อังกฤษอยู่แล้ว ก็ไปเรียนทำผมล่ะกัน ตอนแรกก็ยังดื้อนะ แม่พูดมาประโยคหนึ่งว่า “ศิก สิ่งที่ใช่กับสิ่งที่ควรบางครั้งมันก็ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน เราชอบอะไรไม่ได้หมายถึงว่าเราจำเป็นจะต้องไปทำสิ่งนั้น แต่สิ่งที่เราควรทำคืออะไร” และถ้าศิกไม่กลับมาสานต่อ แม่ก็ต้องปิดร้านที่ทำมาทั้งชีวิต ที่ให้เรียนทำผม ก็ไม่ได้จำเป็นว่าต้องกลับมาทำผมเอง แต่ให้มาบริหารร้าน ซึ่งมันก็ต้องมีความรู้จริงถึงจะบริหารได้ แม่พูดมาเท่านั้นแหละ เรารักแม่แล้วก็ไม่อยากให้เขาเสียใจอีก ก็เลยตัดสินใจเรียนทำผมให้แม่”

ศิกวัสส์ เลือกเรียนทำผมที่ Vidal SassoonAcademy, London ซึ่งนับว่าเป็นคนไทยยุคแรกๆ ที่เข้าเรียนแบบเต็มหลักสูตร ไม่ใช่การแบบเทคคอร์สสั้นๆ เขาใช้เวลาอีกกว่า 2 ปี กับค่าเล่าเรียนอีกกว่า 3 ล้านบาท แต่ในระหว่างที่เรียน เขาก็ยังมีความรู้สึกขัดแย้งอยู่ในใจลึกๆ ว่า นี่ไม่ใช่ตัวตนของเขา แต่ในวันที่เรียนจบหลักสูตร ศิกวัสส์ สามารถคว้า 2 รางวัล Bronze Award 50th Vidal SassoonLondon, Haircut และ Bronze Award 50th Vidal Sassoon London, Colouring มาครองได้ นั่นจึงถือเป็นจุดเปลี่ยนเล็กๆ แต่ยิ่งใหญ่ เมื่อสิ่งที่เขาปฏิเสธมาตลอดคือ “พรสวรรค์” นั้นได้แสดงตัวตนของเขาออกมาแล้ว

“ศิก เป็นแฮร์สไตลิสต์ที่ตรงๆ นะ ถ้าคุณเดินเข้ามาหาศิก อย่าสั่งจะเอาอย่างนั้นอย่างนี้อันนี้ถือว่าไม่ให้เกียรติกัน ถ้าเลือกมาหาศิก ต้องเชื่อใจกัน ต้องเชื่อในสิ่งที่เราบอก เพราะศิกมาทำอาชีพนี้ ศิกยึดคติว่าเราต้องนำเสนอสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูกค้า ถ้าอยากได้เงิน ศิกทำๆ ให้เสร็จไปก็ได้ แต่ไม่ใช่นี่คือ อาชีพเราต้องซื่อสัตย์กับอาชีพ ถ้าทำให้อย่างที่ลูกค้าต้องการ แต่มันไม่สวย ไม่เข้ากับเขา ศิกไม่ทำเด็ดขาด แต่คงเป็นเพราะศิกตรง จริงใจ ก็ทำให้ลูกค้าติด พอกลับมาจากอังกฤษก็มาเปิดร้านที่ซอยร่วมฤดีอยู่ 5 ปี แต่ก็ต้องเลิก ไม่ใช่เจ๊งนะ เจ้าของตึกไม่ต่อสัญญาเช่า ก็กลับมาช่วยบริหารและยังรับลูกค้าที่ร้านของแม่ ปัจจุบันมีสาขาที่เซ็นทรัล พระราม 2 และพุทธมณฑลสายสองชื่อร้านพิศมัยเหมือนเดิมครับ”

การทำงานที่เกี่ยวข้องกับเรื่องสวยๆ งามๆ และในฐานะ “แฮร์สไตลิสต์” ศิกวัสส์ บอกว่า ถึงใครจะมองว่าเป็นแค่ช่างทำผม แต่ก็ต้องดูแลตัวเอง เขาจึงเป็นอีกคนหนึ่งที่สรรหาผลิตภัณฑ์บำรุงผิวมาใช้จนได้ไปพบกับแบรนด์สกินแคร์ชื่อดังจากอเมริกาอย่าง Pevonia จากผู้ใช้เองและชื่นชอบในผลิตภัณฑ์จนนำไปสู่การเป็นผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย

“นี่ก็เป็นอีกหนึ่งความท้าทาย เราไม่เป็นเรื่องธุรกิจเลย เราต้องมาลุยทุกอย่างเองตั้งแต่ต้นไม่ใช่เริ่มจากศูนย์แต่เริ่มจากติดลบเลยดีกว่า เพราะไปเทคโอเวอร์มา คนเดิมเขาก็โรยหน้าไว้ให้เราสวยงาม แต่พอทุกอย่างมาเป็นของเราปุ๊บ ก็เจอกระทั่งหมายศาล แต่มาถึงจุดนี้แล้วก็ต้องสู้เพราะผลิตภัณฑ์เขาดีอยู่แล้ว โรงแรมห้าดาวใหญ่ๆ ในเมืองไทยใช้ Pevonia ในสปาทั้งนั้นก็ฮึดมาก ไปหาลูกค้าเอง สร้างทีมงานเอง จนเข้าปีที่ 5 แล้ว ถือว่าทุกอย่างมาได้ไกลจากวันแรกที่เริ่มต้น”

แต่ทุกวันนี้ Pevonia ถือว่าเป็นธุรกิจหลัก ส่วนงานทำผมเป็นงานอดิเรกที่ลูกค้าต้องนัดเวลา ส่วนเวลาที่เหลือ ศิกวัสส์ จัดสรรให้กับการออกกำลังกาย และการเข้าวัดปฏิบัติธรรม

“ศิก ทำงานค่อนข้างหนักในแต่ละวัน เพราะ Pevonia มีผลิตภัณฑ์เป็นร้อยๆ ตัวที่ใช้ได้ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า เรายังต้องลุยทำตลาดกันอยู่ แม้ตอนนี้เศรษฐกิจไม่เป็นใจ แต่ก็หยุดไม่ได้ ถ้าวันไหนมีลูกค้านัดทำผมไว้ ก็เข้าร้านเจ็ดวันแทบไม่ได้หยุด แต่ก็จะแบ่งเวลาในการออกกำลังกาย จันทร์ พุธ ศุกร์ 3 วันนี้ อย่างตอนนี้ก็บ้าต่อยมวย อีกหนึ่งกิจกรรมเป็นสิ่งที่พ่อกับแม่ปลูกฝังมาตั้งแต่เด็ก และถือว่าเป็นกิจกรรมครอบครัว คือการไปทำบุญ ไปปฏิบัติธรรมบ้าง เราดูแลร่างกายดีแล้ว ก็ต้องดูแลจิตใจด้วย”

ในทุกๆ ครั้งที่สัมภาษณ์ มักจะถามว่า “อะไรที่เรียกว่าประสบความสำเร็จในชีวิต” ซึ่งหลายคนมีคำตอบที่แตกต่างกันไปถึงจุดประสบความสำเร็จของตัวเอง แต่สำหรับ ศิกวัสส์ เขาบอกว่า…

“ชีวิตมันไม่มีอะไรแน่นอนครับ จากที่ดื้อกับแม่มาตลอดว่าไม่อยากเป็นช่างทำผม แล้วยังไง ไม่เคยคิดว่าจะทำธุรกิจแล้วตอนนี้เป็นไง คือไม่มีอะไรที่ตรงกับฝันของศิกเลย แต่เมื่อมาทำ เราต้องทำให้ดีที่สุด จนกว่าจะถึงวินาทีสุดท้าย ผลจะเป็นอย่างไรไม่รู้ แต่ดีกว่าไม่ลงมือทำแล้วมาเสียใจทีหลัง ศิกว่าทำไม่ได้ยังไม่เสียใจเท่ากับยังไม่ได้ทำ ฉะนั้นทุกวันนี้เราทำทุกๆ วันให้ดีที่สุด ทำงานมีเงินใช้ แม้จะไม่ใช่เงินถุงเงินถัง แต่ดูแลตัวเองได้ ดูแลครอบครัวให้มีความสุขได้ มันมีอะไรที่ประสบความสำเร็จกว่านี้อีกไหม”

 

Leave a comment