นายสุรพงษ์ เจียสกุล เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เปิดเผยว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีนโยบายเร่งด่วนในการอนุรักษ์และเพิ่มผลผลิตกระบือ โดยดำเนินโครงการอนุรักษ์และพัฒนาการผลิตกระบือ เพื่อแก้ปัญหาจำนวนกระบือลดลงอย่างต่อเนื่องจากการบริโภคในประเทศและส่งออกไปประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งนี้ สศก.ได้ติดตามผลการดำเนินโครงการตั้งแต่เดือนตุลาคม 2558- มกราคม 2559 ในพื้นที่จังหวัดอุทัยธานี แพร่ และเชียงราย พบว่า ผลการดำเนินงานบรรลุวัตถุประสงค์ ทั้งด้านการเร่งรัดการเพิ่มจำนวนกระบือ

โดยมีการให้สินเชื่อธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ผ่านวิสาหกิจชุมชน จำนวนแห่งละ 1 ล้านบาท คิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 2 เพื่อจัดสรรให้สมาชิก จำนวน 10 ราย รายละ 100,000 บาท นำไปซื้อกระบือเลี้ยงเพิ่มขึ้น ซึ่งเกินเป้าหมายที่กำหนด ส่งผลให้เกษตรกรมีจำนวนกระบือเพิ่มขึ้นจากก่อนมีโครงการเฉลี่ยรายละ 4 ตัว จากเป้าหมายรายละ 2 ตัว เนื่องจากเกษตรกรจ่ายเงินสมทบเพิ่มเติมเพื่อซื้อกระบือที่กำลังตั้งท้อง ทำให้ได้ลูกกระบือเพิ่มขึ้นและยังเป็นการสร้างความมั่นใจว่าแม่กระบือที่ซื้อมาไม่เป็นหมัน

นอกจากนี้ เกษตรกรยังสามารถผลิตปุ๋ยอินทรีย์จากมูลกระบือใช้เองและจำหน่ายสร้างรายได้ราคาเฉลี่ยกระสอบละ 18-25 บาท ซึ่งกระบือจะปล่อยมูลสดเฉลี่ย 25 กก./ตัว/วัน กระบือที่เข้าร่วมโครงการ 100,000 ตัว จะได้มูลกระบือแห้งเพื่อนำไปทำปุ๋ยอินทรีย์ประมาณ 260,000 ตัน/ปีสามารถไปขยายผลส่งเสริมการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ทดแทนปุ๋ยเคมีเพื่อลดต้นทุนการผลิตได้อีกทางหนึ่งในโครงการยังได้สนับสนุนพ่อพันธุ์กระบือที่ดีประจำแต่ละกลุ่ม โดยคัดเลือกพ่อพันธุ์กระบือที่มีลักษณะและคุณสมบัติที่ดีให้แต่ละกลุ่มใช้เป็นพ่อพันธุ์ 1 ตัวต่อ 1 กลุ่ม รวมทั้งจัดทำแปลงหญ้าเพื่อให้กระบือมีอาหารกินตลอดปี ส่วนด้านการอนุรักษ์และปกป้องพันธุ์กระบือนั้นมีการทำเครื่องหมายประจำตัวกระบือที่เข้าร่วมโครงการทุกตัว และจัดทำระบบฐานข้อมูลเพื่อควบคุมตรวจสอบการเคลื่อนย้ายกระบือ

โครงการดังกล่าวนอกจากจะช่วยเพิ่มประชากรกระบือได้อย่างรวดเร็วแล้ว ยังสร้างรายได้เสริมในการขายมูลกระบือให้กับเกษตรกร อีกทั้งยังช่วยสนับสนุนนโยบายด้านอื่นๆ อีกด้วย เช่น ขณะนี้เกษตรกรที่ปลูกข้าวเริ่มมีแนวคิดลดพื้นที่ทำนาเปลี่ยนมาปลูกหญ้าเลี้ยงสัตว์มากขึ้น เนื่องจากลู่ทางการตลาดมีแนวโน้มที่ดี ใช้แรงงานน้อยและมีความมั่นคงในอาชีพ