ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า
http://www.naewna.com/local/202710
แล้วปัญหามลพิษหมอกควันและไฟป่าช่วงฤดูแล้งในพื้นที่ภาคเหนือ ก็ทวีความรุนแรงขึ้นอีกครั้ง จนถึงขั้นวิกฤติบ้างแล้วในหลายพื้นที่ กระทั่งข้าราชการผู้เกี่ยวข้องบางฝ่ายออกมาปรารภว่า สถานการณ์ปีนี้ในช่วงเดือนมี.ค.ถึงเม.ย. มีแนวโน้มที่จะรุนแรงกว่าปีก่อนที่เคยเกิดวิกฤติหนักหน่วงสาหัส แต่ปีนี้จะยิ่งแสนสาหัสกว่าเสียอีก
ผมเองก็เพิ่งเขียนเตือนไปหยกๆเมื่อปลายเดือนม.ค.ที่ผ่านมา ทั้งให้กำลังใจเต็มที่กับการที่รัฐบาล คสช.โดยท่านนายกฯพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้เร่งออกมาตรการป้องกันและแก้ไข ด้วยเล็งเห็นถึงปัญหาที่เกิดซ้ำซากมาทุกปี และยิ่งปีนี้อยู่ในภาวะแล้งจัด ขาดน้ำยิ่งกว่าปีไหนๆ ก็ยิ่งอันตรายสุดๆ เป็นความเสี่ยงที่น่าเป็นห่วงยิ่งซึ่งก่อนหน้านี้ พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิดโฆษกประจำสำนักนายกฯแถลงว่า รัฐบาลได้เตรียมพร้อมรับมือปัญหาหมอกควันและไฟป่าโดยเฉพาะพื้นที่ภาคเหนือ 9 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ เชียงราย น่าน แพร่พะเยา แม่ฮ่องสอน ลำพูน ลำปาง และตาก โดยกำหนดให้แต่ละจังหวัดใช้กลไก “ประชารัฐ” มาแก้ไขปัญหา ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดและนายอำเภอ ทำหน้าที่บูรณาการความร่วมมือกับทุกหน่วยงานทั้งฝ่ายพลเรือน ทหาร องค์การปกครองท้องถิ่นตำรวจตระเวนชายแดน ภาคเอกชน และประชาชน แบ่งหน้าที่และพื้นที่รับผิดชอบ เฝ้าระวัง ระดมกำลังคน จัดหาอุปกรณ์ ระงับการเผาป่า จัดทำมาตรการบรรเทาผลกระทบ และประชาสัมพันธ์สร้างจิตสำนึกร่วมกันในการป้องกันปัญหา
แต่แค่ “ต้นยก” มาถึงกลางเดือนก.พ. ยังไม่เข้าช่วง “พีค” ของสถานการณ์ที่ปกติจะเลวร้ายสุดๆ ในเดือนมี.ค.ถึงเม.ย.เลยด้วยซ้ำ ก็ทำท่าจะ“เอาไม่อยู่”
ซะแล้ว ตอนนี้มีข่าวหมอกควันพิษจากการเผาทั้งการเผาวัชพืชในพื้นที่การเกษตรและเผาป่า จนเกิดไฟป่าในหลายจังหวัด ทั้งที่ลำพูน, ลำปาง, เชียงใหม่ ไล่มาล่าสุดที่อุตรดิตถ์ที่ไฟป่าลามเข้าใกล้เรือกสวนผลไม้ ที่มีทั้งสวนทุเรียน,ลองกอง,ลางสาด จนชาวสวนหลายร้อยคนต้องระดมกำลังออกมาช่วยกันดับไฟ ก่อนที่สวนผลไม้ของพวกตนจะวอดวายหายนะ โดยต้องช่วยกันกับเจ้าหน้าที่รัฐด้วยความยากลำบาก เพราะพื้นที่ไฟป่าต้องเดินเท้าขนน้ำเข้าไปดับเป็นทางไกลหลายกิโลเมตร แล้วน้ำก็มีไม่มากอีกด้วย
นี่เป็นจุดที่กลัวกันมาตลอดในปีนี้ว่า ถ้าเกิดไฟป่าขึ้นละก็ อันตรายอย่างสุดๆ จริงๆ ในภาวะที่ปริมาณน้ำมีน้อยเหลืออยู่อย่างจำกัด เพราะฉะนั้นจะให้ดีที่สุด ต้องระวังป้องกันไม่ให้เกิด“ไฟป่า”ขึ้นก่อน นั่นจึงเป็นเรื่องสำคัญที่สุด
แผนป้องกันการเผาที่แบ่งหน้าที่กันไปแล้ว ไม่ว่าพื้นที่เกษตรกรรมที่กระทรวงมหาดไทยกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นหลักในการรณรงค์ให้ไถกลบตอซังและใช้สารย่อยสลายแทนการเผาตลอดใช้กลไกควบคุมกันเองในชุมชน เช่น ประกาศเขตห้ามเผา 90 วัน เป็นต้น ต้องเพิ่มความเข้มข้นเอาจริงเอาจังยิ่งขึ้น พื้นที่ป่าที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯเป็นเจ้าภาพ ร่วมกับทหาร กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและประชาชน ก็ต้องเร่งมือจัดทำแนวป้องกันไฟ ลาดตระเวนดูแล และบังคับใช้กฎหมายกับผู้กระทำผิดเผาป่าอย่างเคร่งครัด จริงจังยิ่งขึ้น ให้เกิดการเกรงกลัวหลาบจำให้ได้
ล่าสุดท่านโฆษกกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ คุณสุรพล จารุพงศ์ ก็เพิ่งแถลงถึงมาตรการโครงการส่งเสริมการหยุดเผาในพื้นที่การเกษตรในปี 2559 ซึ่งให้ 3 หน่วยงานหลัก ได้แก่ กรมพัฒนาที่ดิน, กรมส่งเสริมการเกษตร,กรมฝนหลวงฯ เร่งส่งเสริมองค์ความรู้ให้เกษตรกร ปรับเปลี่ยนทัศนคติให้มาทำการเกษตรที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ใช้เทคโนโลยีการเกษตรเพื่อจัดการเศษวัสดุการเกษตรทดแทนการเผาทำลาย /ทำการเกษตรปลอดการเผา โดยกรมส่งเสริมการเกษตร จะเร่งสร้างเกษตรกรต้นแบบ สร้างชุมชนเกษตรปลอดการเผาต้นแบบใน 20 จังหวัด เป็นจุดเรียนรู้และขยายผลไปยังพื้นที่อื่นที่มีปัญหาการเผาต่อไป ก็ถือว่า เป็นแนวทางที่ดีทั้งนั้น แต่ที่สำคัญต้องเร่งทำให้ได้ผลจริงๆโดยเร็ว
ก็คงต้องช่วยกันทุกไม้ทุกมือสื่ออย่างพวกผม ก็ช่วยกันลงแรงเต็มที่ในการโหมกระแสปลุกจิตสำนึกอยู่ ก็หวังว่าถ้าทำกันจริงจังด้วยกันทุกฝ่ายตามแผนที่วางไว้ จะยับยั้งบรรเทาการเกิดไฟป่าหมอกควันพิษในช่วงจากนี้จนสิ้นสุดฤดูแล้ง ไม่ให้เลวร้ายขั้นวิกฤติสุดๆ อย่างที่กลัวกันอยู่ได้
สาโรช บุญแสง
