โรคผิวหนังในสุนัข : ไรขี้เรื้อน ตอนจบ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/lady/206631

วันอาทิตย์ ที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2559, 06.00 น.

การตรวจวินิจฉัย ขี้เรื้อนเปียก หรือโรคขี้เรื้อนขุมขน :

โดยการขูดผิวหนังที่มีรอยโรค โดยเฉพาะบริเวณที่เป็นตุ่มไปตรวจ ซึ่งการขูดผิวหนังต้องขูดตรวจผิวหนังชั้นลึกให้ถึงระดับ
รูขุมขน (hair follicle) อาจต้องขูดให้จนมีเลือดออกเล็กน้อย หรืออาจใช้การดึงขนมาตรวจได้กรณีรอยโรค อยู่ในที่ที่ขูดยาก เช่น
รอบตา เพราะถ้าขูดแค่ผิวหนัง ด้านบนจะไม่พบตัวเรื้อน เนื่องจาก ไรขี้เรื้อนเปียกนี้อาศัยอยู่ที่รูขุมขน (hair follicle) การตรวจวินิจฉัยโรคนั้น อาจต้องทำควบคู่ไปกับการหาสาเหตุของความผิดปกติที่ทำให้ระดับภูมิคุ้มกันต่ำลงไปด้วย เช่น การตรวจระดับฮอร์โมนไทรอยด์ ภาวะการทำงานของตับที่บกพร่อง เป็นต้น

การรักษา :

ในการรักษาโรคขี้เรื้อนขุมขนนั้น ต้องให้ยาฆ่าไรขี้เรื้อน และให้ยาอื่นๆ ตามอาการ ซึ่งอยู่ในรูปแบบของ ยาฉีด ยากิน
ยาทา ยาจุ่ม หรือแชมพู

1.ยาฆ่าไรขี้เรื้อน ในปัจจุบัน ยาที่ใช้มีหลายรูปแบบ ได้แก่ ยาในกลุ่ม Ivermectin ซึ่งอยู่ในรูปของยาฉีด และยากิน ซึ่งต้องระมัดระวังเรื่องของปริมาณยาที่ใช้ต่อน้ำหนักตัวสุนัข และสายพันธุ์ของสัตว์เช่น สุนัขกลุ่มคอลลี่ เช็ตแลนด์ชีพด็อก และอัฟกันฮาวนด์ ยาในกลุ่ม Avermectin และ Imidacloprid ซึ่งมักอยู่ในรูปแบบของยาหยดหลัง

2.ยาที่ใช้รักษาตามอาการ เช่น ยาปฏิชีวนะ หรือ ยาฆ่าเชื้อรา เพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรียและเชื้อราที่ผิวหนัง ยาแก้คัน-แก้แพ้ เพื่อบรรเทาอาการคัน ยาบำรุงต่างๆ เพื่อเสริมความแข็งแรงของผิวหนัง

ยาแต่ละชนิดจะมีข้อบ่งใช้ และข้อจำกัดที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งการเลือกใช้จะขึ้นกับดุลพินิจของสัตวแพทย์ที่ทำการรักษา เพื่อให้เหมาะสมกับความรุนแรงของโรค สุขภาพของสุนัข ความแตกต่างของสุนัขแต่ละตัว รวมถึงความสะดวกของเจ้าของสัตว์เป็นหลักครับ

บางครั้ง สัตวแพทย์ได้ให้การรักษาจนมีอาการดีขึ้นเป็นปกติแล้ว แต่ในสุนัขบางตัว เมื่อหยุดการให้ยาไปแล้ว จะกลับมาเป็นอีกได้ ถ้าการดูแลภาวะภูมิคุ้มกันต่ำลงอีก ดังนั้นการเลี้ยงดูที่ดี การให้อาหารที่มีคุณภาพ การจัดสถานที่อยู่ให้ปลอดความเครียด จึงน่าจะเป็นวิธีที่ดีที่ใช้ป้องกันการกลับมาเป็นอีกได้ เนื่องจาก โรคนี้เชื่อว่า มีความเกี่ยวข้องกับภูมิคุ้มกันของร่างกาย ดังนั้นการรักษาให้ หายขาดเป็นไปได้ยาก และต้องใช้เวลารักษานาน

ผมขอเรียนย้ำอีกครั้งนะครับว่า

1.ความเชื่อแบบโบราณบางอย่างอาจไม่มีผลอะไรหรือ อาจช่วยได้เพียงเล็กน้อยเช่น น้ำมันมะพร้าวกับกำมะถัน จะช่วยให้ผิวไม่แห้งและมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อโรคได้เล็กน้อย ส่วนน้ำหน่อไม้ดอง ก็จะมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ได้บ้าง แต่ไม่ได้ฆ่าไรขี้เรื้อนและไม่ได้
รักษาที่สาเหตุที่แท้จริง โดยเฉพาะความเชื่อที่ว่าเอาน้ำมันเครื่องใช้แล้ว(น้ำมันขี้โล้ว)มาทาผิวหนังที่เป็นแผลนั้น เป็นวิธีที่ผิดแบบไม่น่าให้อภัยเลยครับ เพราะเป็นการให้สารพิษจำพวกตะกั่ว ดีบุก และโลหะหนักแก่สุนัข แทนที่จะช่วยและได้บุญ กลับกลายเป็นทำร้าย และได้บาปแทนเสียด้วยครับ

2.ขี้เรื้อนเปียกไม่ใช่โรคติดต่อ แต่อาจพบได้พร้อมกันหลายๆ ตัว ในสัตว์ที่เลี้ยงในสภาพแวดล้อมเหมือนกัน กินอาหารคล้ายกัน มีภาวะความเครียดคล้ายๆ กันครับ


ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายสัตวแพทย์ ดร. ทิลดิสร์ รุ่งเรืองกิจไกร
ฝ่ายประชาสัมพันธ์และเสริมสร้างภาพลักษณ์องค์กร
คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

Leave a comment