ส่องเกษตร : เอายาปฏิชีวนะออกไปจากอาหาร

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/207160

449007

วันพุธ ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2559, 06.00 น.
สัปดาห์ที่แล้ว เขียนถึงเรื่องที่กระทรวงอุตสาหกรรมกำหนดแนวทางช่วยเกษตรกรที่กำลังเดือดร้อนหนักจากการขาดแคลนน้ำ โดยออกมาตรการสนับสนุนให้นำ“น้ำทิ้ง”โรงงาน ไปใช้ในพื้นที่เกษตรกรรมช่วงภัยแล้งปีนี้ได้ ซึ่งผมเตือนว่า ควรระมัดระวังยิ่งและกรมโรงงานอุตสาหกรรมต้องดูแลให้เข้มงวด จริงจังต่อคุณภาพ“น้ำทิ้ง”ที่นำออกไปใช้ มิเช่นนั้นจะยิ่งซ้ำเติมภาคเกษตรให้เสียหายหนักขึ้นได้น่ายินดีว่า นายกฯประยุทธ์ จันทร์โอชาก็ตระหนักเรื่องนี้เช่นกัน โดยท่านกล่าวช่วงหนึ่งในรายการ คสช.-คืนความสุขคนในชาติ เมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา ตอกย้ำว่า“น้ำทิ้งโรงงาน”ที่จะนำไปใช้ในภาคเกษตรกรรมตามมาตรการผ่อนปรนเงื่อนไข “การห้ามระบายน้ำทิ้งออกนอกบริเวณโรงงาน” เป็นการชั่วคราวที่ให้ทำได้ไม่เกิน 30 มิถุนายนนี้ จะต้องผ่านการบำบัดให้ได้มาตรฐานตามพ.ร.บ.โรงงาน ต้องไม่มีสารโลหะหนักหรือสารเคมีที่เป็นอันตราย ทั้งย้ำเตือนโรงงานอย่าฉวยโอกาสทำอะไรที่ไม่สัตย์ซื่อ มิเช่นนั้นเป็นโดนปิดแน่ ซึ่งเจ้าหน้าที่ต้องตรวจสอบและรายงานผลวิเคราะห์คุณภาพน้ำทิ้งตลอดเวลา ให้ทุกฝ่ายเกิดความมั่นใจ “อย่าให้มีปัญหาภายหลังโดยเด็ดขาดทั้งเจ้าหน้าที่ผู้ตรวจ ทดสอบอะไรก็แล้วแต่ โรงงานด้วย อย่าให้มีผลกระทบกับรัฐบาลโดยเด็ดขาด”

ท่านนายกฯสั่งเฉียบขาดขนาดนี้แล้ว จากนี้ก็ต้องรอดูการปฏิบัติต่อไป และพี่น้องเกษตรกรก็ต้องช่วยกันดูแลเป็นหูเป็นตาด้วย แม้จะแล้งน้ำเพียงใด แต่ถ้าน้ำทิ้งโรงงานที่ปล่อยมาให้ใช้ในภาคเกษตรกรรมไม่ได้มาตรฐาน แล้วยังฝืนนำไปใช้กัน…มันจะได้ไม่คุ้มเสีย!มาที่เรื่องอื่นกันบ้าง…วันที่ 15 มีนาคมที่เพิ่งผ่านไป เป็นวันสิทธิผู้บริโภคสากลครับ โดยกำหนดมาจากกลุ่มเครือข่ายผู้บริโภคทั่วโลกที่ชื่อว่า“สหพันธ์ผู้บริโภคสากล (ConsumerInternational, CI)” จัดขึ้นครั้งแรกปีค.ศ.1985 หรือพ.ศ.2528 ซึ่งเป็นปีที่องค์การสหประชาชาติออกประกาศคำแนะนำสำหรับการคุ้มครองผู้บริโภค (UNGCP) หลังจากเกิดการเคลื่อนไหวของกลุ่ม CI มาร่วม 10 ปี

วันสิทธิผู้บริโภคสากลแต่ละปี จะมีแคมเปญรณรงค์ต่างๆเพื่อประโยชน์ผู้บริโภค โดยปีนี้ให้ความสำคัญเรื่องอาหารปลอดภัย จึงร่วมรณรงค์ทั่วโลกให้“เอายาปฏิชีวนะออกจากอาหารของเรา” (AntibioticsOff the Menu) เพื่อลดและยุติการใช้ยาปฏิชีวนะในกระบวนการเลี้ยงสัตว์เพื่อเป็นอาหารทั้งนี้คนทั่วโลกได้ร่วมลงชื่อรณรงค์ออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ต่างประเทศ THUNDERCLAP เพื่อผลักดันให้ใช้เนื้อสัตว์ที่ไม่มียาปฏิชีวนะจนถึงวันที่ 15 มีนาคม 2559 ร่วม 2 ล้านคน

สำหรับความเคลื่อนไหวในไทย ทางมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค โดยคุณสารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการฯก็มีข้อเรียกร้องถึงทุกบริษัทในประเทศไทยคือ 1.ขอให้ตรวจสอบแหล่งที่มาเนื้อสัตว์ที่ใช้ประกอบอาหารจำหน่ายแก่ผู้บริโภค 2.ขอให้บริษัทมีแผนปฏิบัติการลดและยุติการใช้เนื้อสัตว์ที่มีกระบวนการใช้ยาปฏิชีวนะในการเลี้ยงสัตว์ เพื่อคุ้มครองสิทธิของผู้บริโภคในการเข้าถึงอาหารที่ปลอดภัยต่อสุขภาพ และ3.ขอให้มีตัวแทนจากนักวิชาการภายนอกตรวจสอบแผนปฏิบัติการลดและยุติการใช้ยาปฏิชีวนะในการเลี้ยงสัตว์และรายงานต่อสาธารณะทุก 3 เดือนคุณสารีระบุว่า รัฐสภายุโรปกำลังจะออกกฎหมายจำกัดการใช้ยาปฏิชีวนะในการเลี้ยงสัตว์ ด้วยพบว่า การดื้อยา อันเนื่องมาจากยาปฏิชีวนะเป็นสาเหตุสำคัญของการเสียชีวิตมากกว่าโรคมะเร็งเสียอีก จึงต้องห้ามใช้ในการเลี้ยงสัตว์ โดยเฉพาะยาปฏิชีวนะที่จำเป็นต้องใช้ในคน ตลอดจนห้ามขายยาปฏิชีวนะทางออนไลน์ เป้าหมายเพื่อลดการปนเปื้อนยาปฏิชีวนะในอาหารมนุษย์

ทั้งนี้ข้อมูลกระทรวงสาธารณสุขระบุว่า ปัจจุบันปัญหาการดื้อยาของเชื้อจุลชีพที่ทำให้เกิดโรคมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อยๆ สาเหตุสำคัญมาจากการใช้ยาปฏิชีวนะที่มากขึ้น ทั้งใช้อย่างไม่จำเป็นและเกินจำเป็น โดยมูลค่าการใช้ยาปฏิชีวนะของคนไทยมากกว่า 1 หมื่นล้านบาท/ปี และมีการติดเชื้อชนิดที่ดื้อยาฯปีละกว่า 1 แสนคน มีผู้ป่วยติดเชื้อชนิดดื้อต่อยาปฏิชีวนะ 5 ชนิด เสียชีวิต 38,481 ราย แซงโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด มูลค่าสูญเสียทางเศรษฐกิจจากการป่วยและเสียชีวิตก่อนวัยอันควรปีละกว่า 4 หมื่นล้านบาท ทำให้ยาฯตัวเก่าใช้ไม่ได้ผล ผู้ป่วยต้องเปลี่ยนใช้ยาใหม่ซึ่งแพงมาก เชื้อดื้อยาบางชนิดไม่มียารักษา ทำให้มีค่ารักษาเพิ่มขึ้นและมีโอกาสเสียชีวิตสูง ผลเสียต่อไปหากเชื้อชนิดนี้แพร่สู่ผู้ป่วยรายอื่นและเกิดระบาดในชุมชน จะทำให้โรคติดต่อที่เคยควบคุมได้ กลับมาระบาดมากขึ้น และเชื้อดื้อยายังสามารถถ่ายทอดรหัสพันธุกรรมดื้อยาสู่เชื้อสายพันธุ์อื่น ทำให้ปัญหาการดื้อยาทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นข้อมูลเหล่านี้ จึงน่าจะประสานส่งให้กรมปศุสัตว์เร่งหามาตรการดูแลฟาร์มหน่อยนะครับ

สาโรช บุญแสง

Leave a comment