แตกใบอ่อน : น่าอนาถ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/208317

807934531

วันพฤหัสบดี ที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2559, 06.00 น.

21 และ 22 มีนาคมที่ผ่านมา ถือว่า

เป็นวันสำคัญวันหนึ่งที่จะกระตุ้นเตือนให้คนทั่วโลก รวมทั้งคนไทยอย่างพวกเรา ได้ตระหนักถึงสถานการณ์ด้านสิ่งแวดล้อมที่กำลังถูกคุกคามอย่างหนัก ทั้งโดยตรงและโดยอ้อมจากน้ำมือของพวกเรากันเอง

21 มีนาคมของทุกปี ถือว่าเป็น “วันป่าไม้โลก” ขณะที่วันที่ 22 มีนาคม ถูกจัดให้เป็น “วันน้ำโลก” ซึ่งโดยส่วนตัวผมไม่มีข้อมูลว่า นี่เป็นเพียงแค่เรื่องความบังเอิญ หรือเป็นความจงใจ จึงได้มีการกำหนดให้ทั้งวันป่าไม้และวันน้ำโลกอยู่ติดกันแบบนี้

แต่สิ่งที่ผมรู้เหมือนที่ทุกคนไทยรู้มานานแรมปี คือ ทั้ง 2 ปัญหาล้วนมีความสัมพันธ์และส่งผลต่อกันและกันอย่างแนบแน่น เพราะไม่มีป่าย่อมไม่มีต้นน้ำ และถ้าไม่มีน้ำป่าไม้ก็อยู่ไม่ได้

และทั้งปัญหาป่าไม้และปัญหาน้ำก็ยังเป็นปัญหาใหญ่ของคนไทยทุกคนในเวลานี้เช่นกัน

จากข้อมูลการสำรวจของกรมป่าไม้เมื่อปี 2557 พบว่า ปัจจุบันพื้นที่ป่าไม้ของไทยเหลืออยู่เพียงประมาณ 102 ล้านไร่เศษๆ หรือร้อยละ 31.57 ของพื้นที่ประเทศ ขณะที่ปี 2551 สำรวจพบมีเหลืออยู่ประมาณ 108 ล้านไร่ จึงทำให้เท่ากับป่าไม้ของไทยหายไปถึง 6 ล้านไร่ ภายในเวลา 6 ปี หรือเท่ากับหายไปปีละไม่น้อยกว่า 1 ล้านไร่ ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่วิกฤติยิ่งกว่าวิกฤติ

ส่วนสถานการณ์น้ำ เมื่อปีที่แล้ว องค์การสหประชาชาติ ได้เผยแพร่รายงานซึ่งเปรียบเสมือนคำเตือนไปยังทั่วโลกว่า สถานการณ์ปริมาณของแหล่งน้ำใต้ดินทั่วโลกกำลังอยู่ในภาวะที่ลดต่ำลงและเหลือน้อยมากขึ้นทุกที ขณะที่หลายพื้นที่ของโลกรวมทั้งประเทศไทย ต่างประสบปัญหาฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล ซึ่งเป็นผลพวงของสภาวะการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ ขณะที่มีการคาดการณ์ว่าจำนวนประชากรโลกจะเพิ่มขึ้นเป็น 9,000 ล้านคนภายในปี 2050 ส่งผลให้เกิดความต้องการใช้น้ำมากขึ้น และเกิดปัญหาขาดแคลนน้ำขั้นรุนแรงทั้งในแง่ของการใช้น้ำเพื่อการเกษตร อุตสาหกรรม และการใช้น้ำในชีวิตประจำวันตามบ้านเรือน

โดยความต้องการใช้น้ำทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นอีกร้อยละ 55 ภายในปี 2050ดังนั้นหากพฤติกรรมการใช้น้ำอย่างสิ้นเปลือง และการพัฒนาที่ไม่ยั่งยืนของทุกประเทศทั่วโลกยังดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่อง โลกของเราก็จะเหลือน้ำเพียงพอใช้เพียงร้อยละ 60 ของความต้องการใช้น้ำทั้งหมดภายในปี ค.ศ.2030 หรือในอีก 14 ปีข้างหน้า

ถ้าเรื่องนี้ถูกนำมาพูดเมื่อสัก 10 ปีที่แล้ว ผมว่าคนไทยคงพากันหัวเราะเยาะ เพราะแทบจะหลับตานึกภาพเหตุการณ์นี้ไม่ออกว่าจะเกิดขึ้นกับประเทศไทยได้อย่างไร แต่สิ่งที่ไม่เคยคิดว่าจะเกิดขึ้นก็เกิดขึ้นแล้ว ณ วันนี้ ซึ่งคนไทยทุกคนต่างประจักษ์กับสายตาของตัวเองถึงความโหดร้ายของสถานการณ์ภัยแล้งและขาดแคลนน้ำที่กำลังแพร่ลามไปทั่วประเทศในเวลานี้

นี่แค่เพียงเบาะๆ นะครับ ยังไม่รู้ว่าอนาคตจะหนักหนาสาหัสขนาดไหนดังนั้นสิ่งที่เราทุกคนควรทำเวลานี้ คือ การเตรียมพร้อมรับมือ

แต่การเตรียมพร้อมที่ว่า ก็ต้องอยู่ภายใต้ฐานความคิดที่รอบด้าน โดยเฉพาะแผนการบริหารจัดการน้ำของประเทศ ซึ่งต้องคิดอย่างเป็นระบบ และที่สำคัญต้องมีความเชื่อมโยงไปถึงการรักษาป่า รักษาสิ่งแวดล้อม

ไม่ใช่เอะอะพอถึงหน้าแล้ง ไม่มีน้ำก็จะตะบี้ตะบันสร้างเขื่อนมันอย่างเดียว โดยไม่คิดถึงผลกระทบอย่างอื่นตามมา

สร้างเขื่อนมันสร้างได้ครับ ไม่มีใครเขาว่าหรือขัดขวาง หากเป็นการก่อสร้างที่ผ่านการศึกษาผลกระทบต่างๆ อย่างรอบด้าน

เหมือนอย่างกรณีเขื่อนแม่วงก์ที่รัฐมนตรีเกษตร “พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ” ออกมาพูดตอบโต้ประเด็นที่หลายฝ่ายทักท้วงกรณีความเกรงกลัวจะเกิดผลกระทบกับเสือโคร่งจะสูญพันธุ์ทำนองว่า “เสือมันไม่มีขาดหนีน้ำ หรือเป็นเสือหินหรืออย่างไร จึงวิ่งไม่ได้”

ถ้าพูดจากันแบบนี้ก็บอกตรงๆ ครับว่า เจริญล่ะประเทศไทย ได้รัฐมนตรีอย่างนี้มาทำงาน

ไม่รู้ว่าใช้อะไรคิด ถึงได้พูดจาไม่มีเหตุผล ไม่รู้จักศึกษาข้อมูลให้ดีกว่านี้ถึงค่อยพูด

น่าอนาถครับ

มะลิลา

Leave a comment