ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า
http://www.naewna.com/local/209517
ภาคเหนือตอนบน เป็นพื้นที่ที่อากาศค่อนข้างหลากหลาย พื้นที่ส่วนใหญ่ 70% เป็นพื้นที่สูงอุณหภูมิเย็นสบาย ส่วนพื้นที่ราบจะมีอุณหภูมิค่อนข้างสูง จึงมีการทำการเกษตรที่หลากหลาย และการเพาะเลี้ยงเห็ดก็เป็นอีกอาชีพหนึ่งที่สามารถสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรได้ไม่น้อยแต่เกษตรกรส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรรายย่อย มีกำลังการผลิตที่จำกัด เนื่องจากสภาพพื้นที่ ต้นทุนการผลิต และศัตรูเห็ด เป็นต้น
ดังนั้น เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาดังกล่าวนายอุทัย นพคุณวงศ์ ผู้อำนวยการสำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตร เขตที่ 1 (สวพ.1) กรมวิชาการเกษตร กล่าวว่า การพัฒนางานเห็ดในภาคเหนือตอนบน จะเน้นการแก้ปัญหาในพื้นที่ โดยเฉพาะด้านพันธุ์เห็ดเพื่อให้ได้พันธุ์ที่มีความเหมาะสมกับพื้นที่ และลดต้นทุนการผลิต โดยสำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 1 ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตร จ.แพร่ และศูนย์วิจัยพืชสวนเชียงราย ซึ่งเป็นหน่วยงานของกรมวิชาการเกษตร ได้ทำงานวิจัยอย่างต่อเนื่องโดยนำเทคโนโลยีของกรมวิชาการเกษตรมาช่วยแก้ปัญหาเรื่องเห็ดในพื้นที่ ดังนี้
1.เทคโนโลยีด้านพันธุ์ มีการวิจัยในพื้นที่เพื่อคัดเลือกให้ได้สายพันธุ์ที่ตอบสนองต่อสภาพแวดล้อมในพื้นที่ โดยประเมินสายพันธุ์ที่เหมาะสมกับการเพาะในภาคเหนือ จากการเจริญเติบโตทางเส้นใยเห็ดหอมบนก้อนวัสดุเพาะจากขี้เลื่อยไม้ยางพาราและเปรียบเทียบผลผลิตของเห็ดหอมจำนวน 10 สายพันธุ์ ที่เพาะในฤดูร้อน ฤดูฝน และฤดูหนาว ที่ จ.เชียงราย ระหว่างปี 2549-2550 พบว่า การบ่มเชื้อในฤดูฝน (ก.ค.-พ.ย. 2549) สายพันธุ์ส่วนใหญ่มีการเจริญทางเส้นใยได้ดีกว่าการบ่มเชื้อในฤดูร้อน (ก.พ.-มิ.ย. 2549) และเส้นใยเจริญได้ช้าที่สุดถ้าบ่มเชื้อในฤดูหนาว (ธ.ค. 2549 -เม.ย. 2550)
จากการเปรียบเทียบผลผลิตที่เปิดดอกแต่ละฤดูกาลพบว่า ในการเปิดดอกเห็ดฤดูฝน ทุกสายพันธุ์ให้ผลผลิตสูงกว่าเปิดดอกในฤดูหนาวและฤดูร้อน แต่ดอกเห็ดหอมทุกสายพันธุ์ที่ให้ผลผลิตในฤดูหนาว จะมีขนาดและน้ำหนักต่อดอกมากกว่าดอกเห็ดหอมที่เปิดในฤดูฝน สายพันธุ์ที่ 7 เป็นสายพันธุ์ที่ให้ผลผลิตสูงที่สุดทั้งในฤดูฝนและฤดูหนาว และสายพันธุ์ที่ 9 เป็นสายพันธุ์ที่ให้ผลผลิตรองลงมาโดยทั้ง 2 สายพันธุ์ ให้ผลผลิตสูงกว่าสายพันธุ์ที่1-5 ซึ่งเป็นสายพันธุ์แนะนำของกรมวิชาการเกษตร

เมื่อนำสายพันธุ์เห็ดหอมเหล่านี้ไปทดสอบการผลิตในพื้นที่ของเกษตรกร พบว่าสายพันธุ์ที่ 7 มีลักษณะหมวกดอกกลมสม่ำเสมอ ออกดอกต่อเนื่อง ดอกมีขนาดเล็กตามที่ตลาดท้องถิ่นต้องการ แต่ดอกเห็ดมีน้ำหนักเบาส่วนสายพันธุ์ที่ 9 ดอกเห็ดมีน้ำหนักดี แต่ให้ผลผลิตไม่สม่ำเสมอ ดอกใหญ่กว่าสายพันธุ์ที่ 7แต่ก็อยู่ในขนาดที่ตลาดท้องถิ่นรับได้ อย่างไรก็ตาม การคัดเลือกสายพันธุ์ที่มีแนวโน้มให้ผลผลิตที่ดีในพื้นที่มาใช้ สายพันธุ์ดังกล่าวจะสามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมได้ดีขึ้น
2.การลดต้นทุนการผลิต ได้ศึกษาการใช้ก้อนเชื้อที่เก็บผลผลิตเห็ดสกุลนางรม นำมาเป็นวัสดุเพาะเห็ดฟางในตะกร้า เปรียบเทียบกับการใช้ฟางข้าวเป็นวัสดุเพาะ พบว่าทำให้ต้นทุนการผลิตลดลงและมีรายได้เพิ่มขึ้น หากนำก้อนเชื้อเห็ดเก่าของเห็ดสกุลนางฟ้านางรมที่เก็บผลผลิตแล้ว มาเป็นส่วนผสมในการทำก้อนเชื้อเห็ดสกุลนางรมและเห็ดขอนขาวรุ่นใหม่เปรียบเทียบกับการใช้ขี้เลื่อยใหม่ในการเพาะเห็ด พบว่าช่วยลดต้นทุนการผลิตได้เช่นกัน อีกทั้งยังได้ศึกษาการเพาะเห็ดเป๋าฮื้อโดยใช้ก้อนเชื้อเห็ดเก่าเป็นส่วนผสมในการเพาะเห็ดรุ่นใหม่ เปรียบเทียบกับการใช้ขี้เลื่อยใหม่ในการเพาะเห็ด พบว่า ช่วยเพิ่มผลผลิตขึ้นได้ นอกจากนี้ สามารถใช้วัสดุท้องถิ่นที่มีศักยภาพ 5 ชนิด ได้แก่ หญ้าขน หญ้าคา หญ้าเนเปียร์ยักษ์ ฟางข้าว และขี้เลื่อย ในการเพาะเห็ดนางฟ้าภูฐานได้ โดยวัสดุเพาะทั้งห้าชนิดให้ผลผลิตเห็ดนางฟ้าภูฐานไม่แตกต่างกัน
3.การแก้ปัญหาศัตรูเห็ด กรมวิชาการเกษตรมีเทคโนโลยีการบริหารจัดการศัตรูเห็ดที่สามารถนำมาผสมผสานเพื่อให้การควบคุมศัตรูเห็ดได้ผลสูงสุด และไม่มีสารเคมีตกค้างในผลผลิตเห็ดที่จะไปสู่ผู้บริโภค ศัตรูเห็ดที่พบเป็นปัญหาประจำในภาคเหนือตอนบน ได้แก่ เชื้อราปนเปื้อนต่างๆ ปลวก หอย หนู แมลง และไร เนื่องจากขั้นตอนในการปฏิบัติงานด้านเห็ดมีรายละเอียดปลีกย่อยหลายขั้นตอน
ดังนั้นวิธีการจัดการควบคุมโรคและแมลงศัตรูเห็ดควรดำเนินการเพื่อแก้ปัญหาแต่ละขั้นตอน เริ่มตั้งแต่ การเลือกแม่เชื้อและหัวเชื้อเห็ดที่จะนำมาเพาะ ต้องเลือกจากแหล่งที่เชื่อถือได้ เชื้อมีการเดินเส้นใยอย่างสม่ำเสมอ ไม่มีเชื้อราปนเปื้อนในแม่เชื้อ หรือหัวเชื้อ เชื้อที่จะนำมาใช้ต้องมีอายุที่เหมาะสม ไม่แก่หรืออ่อนเกินไป วัสดุที่นำมาใช้เป็นวัสดุเพาะเห็ดต้องไม่มีการใช้สารเคมีในการอบ หรือฉีดพ่น การนึ่งก้อนเชื้อเห็ดควรให้ก้อนเชื้อเห็ดที่อยู่ในเตานึ่งได้รับความร้อนในระดับที่สม่ำเสมออย่างต่อเนื่อง

การย้ายเชื้อเห็ดลงสู่ก้อนวัสดุเพาะควรทำในบริเวณที่สะอาด ไม่มีลมโกรก และผู้ปฏิบัติงานต้องทำความสะอาดมือและอุปกรณ์ในการปฏิบัติงานให้ปราศจากเชื้อปนเปื้อน ต้องมีการตรวจสอบก้อนเชื้อเห็ดที่นำไปบ่มอย่างสม่ำเสมอ เพื่อคัดแยกก้อนเชื้อเห็ดที่มีเชื้ออื่นปนเปื้อนนำออกไปทำลายได้อย่างทันท่วงที เมื่อจะย้ายก้อนเชื้อเห็ดเข้าสู่โรงเรือนเปิดดอก ควรมีการเตรียมโรงเรือนให้สะอาด จะช่วยลดปัญหาต่างๆ ได้มาก
โดยต้องทำความสะอาดเพื่อฆ่าแมลงและเชื้อโรคสะสมด้วยสารคลอรอกซ์ (โซเดียมไฮโปคลอไรต์) อัตรา 20 มล.ต่อน้ำ 20 ลิตร พ่นบริเวณพื้นฝาผนังและหลังคาโรงเรือนให้ทั่วทุกซอกทุกมุม ปิดโรงเรือนไว้ 7-10 วัน จากนั้นจึงขนย้ายก้อนเชื้อเห็ดเข้าโรงเรือนเปิดดอกในระยะนี้ ให้ติดกับดักกาวเหนียวสีเหลือง จำนวน 6-8 อันต่อโรงเรือน (ขนาด 8×20 เมตร) ให้อยู่ระหว่างชั้นเห็ดและมีระดับสูงจากพื้นโรงเรือนประมาณ 1.50-1.80 เมตร และไม่อยู่ในจุดที่ขัดขวางการปฏิบัติงาน ไม่ควรให้ถูกน้ำบ่อย หากเป็นไปได้ ควรติดตั้งใกล้มุมมืด เพราะตัวแก่ของแมลงจะชอบอาศัยอยู่ ควรเปลี่ยนกับดักกาวเหนียวใหม่ทุก 10-15 วัน ตลอดฤดูการผลิตเห็ด ควรพ่นเชื้อแบคทีเรีย (Bacillus thuringiensis) อัตรา 60-80 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร ทันที
หลังการเปิดจุกก้อนเชื้อเห็ด (กรณีเห็ดถุง) เมื่อเก็บเกี่ยวดอกเห็ดรุ่นแรกแล้ว หากมีตัวแก่แมลงมารบกวนมาก ควรพ่นด้วยมาลาไทออน อัตรา 20 มล. หรือ ไดอะซินอน อัตรา 40 มล.ต่อน้ำ 20 ลิตร โดยให้พ่นตามพื้นมุมโรงเรือน ที่มีแมลงเกาะอยู่เท่านั้น ห้ามพ่นลงบนเห็ดโดยตรง หลังจากการเก็บเกี่ยวเห็ดแต่ละรุ่นแล้ว ควรพักโรงเรือนเพื่อตัดวงจรของโรคและแมลง หรือศัตรูชนิดต่างๆ ไม่ให้สะสมในโรงเรือน และในช่วงนี้สามารถใช้สารรม เช่น ฟอสฟิน หรือ เมททิลโบรไมด์ เพื่อทำลายศัตรูทุกชนิดได้ ส่วนก้อนวัสดุเพาะเก่าและก้อนวัสดุเพาะที่มีเชื้อปนเปื้อน ควรนำไปทิ้งให้ห่างจากโรงเรือนอย่างน้อย 100 เมตร
นอกจากการแก้ปัญหาหลัก 3 ประเด็นดังกล่าวข้างต้นแล้ว สำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตร เขตที่ 1 ยังได้ร่วมกับภาคส่วนอื่นๆ ในพื้นที่ทำการทดสอบพัฒนาเห็ดที่มีศักยภาพที่จะเป็นเห็ดเศรษฐกิจทางเลือกใหม่ในพื้นที่ เช่น เห็ดตับเต่า เห็ดแครง เห็ดเยื่อไผ่ เห็ดถั่วฝรั่ง และเห็ดโต่งฝน เป็นต้น เพื่อเป็นการเพิ่มทางเลือกในการบริโภคเห็ดที่มีคุณค่าทางอาหารได้หลากหลายยิ่งขึ้น