ส่องเกษตร : ข้าวโพด+ป่า กับซีพี

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/209157

449007

วันพุธ ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2559, 06.00 น.

ฝุ่นละอองหมอกควันพิษจากการเผาพื้นที่และไฟป่าในฤดูแล้งช่วงนี้ โดยเฉพาะพื้นที่ภาคเหนือ ยังคงตามหลอกหลอน เป็นปัญหาซ้ำซากประจำปี แม้รัฐบาลจะพยายามเตรียมการป้องกัน แก้ไขแบบบูรณาการทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตั้งแต่เนิ่นๆ ดังที่ผมเคยนำมาเขียนเล่าให้ฟังในช่วงที่ผ่านมาแล้วก็ตาม

จากภาพหมอกควันไฟปกคลุมภูเขาในพื้นที่ภาคเหนือ ซึ่งหลายๆลูกอยู่ในสภาพภูเขาหัวโล้นเพราะถูกบุกรุกทำลายป่า เผาป่าทำไร่ข้าวโพด ทำให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งเกษตรกรไปจนถึงบริษัทผู้ผลิตอาหารสัตว์ที่ไปส่งเสริมการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ตกเป็น“จำเลยของสังคม”ไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา องค์การอ็อกแฟม ประเทศไทย ร่วมกับสหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ และมูลนิธิพัฒนาภาคเหนือ จึงจัดงาน “Cornnection : คน เขาเรา ข้าวโพด” มีไฮไลท์สำคัญที่วงเสวนา“คน เขา เรา ข้าวโพด : การเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืน’ โดยเวทีนี้เปิดให้ตัวละครสำคัญที่เกี่ยวข้องแต่ละฝ่ายได้แสดงจุดยืน ความมุ่งมั่นตั้งใจ ที่แม้ว่าอาจจะยืนกันอยู่คนละมุม แต่จะได้ร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างเปิดอก ตรงไปตรงมา กล้าตอบคำถามยากๆ พร้อมหาทางออกและแสดงความรับผิดชอบร่วมกันตามบทบาทต่ละฝ่าย เพื่อทำให้สามารถแก้ไขและเยียวยาเรื่องนี้ได้อย่างเป็นธรรมและยั่งยืนต่อไป

วิทยากรที่ร่วมเสวนา มี สฤณีอาชวานันทกุล กรรมการผู้จัดการด้านการพัฒนาความรู้บริษัทป่าสาละ, ศุภชัย เจียรวนนท์รองประธานกรรมการเครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP),ประยงค์ ดอกลำไย ที่ปรึกษาขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม และ จักรชัย โฉมทองดีผู้ประสานงานด้านรณรงค์นโยบายองค์การอ็อกแฟมประเทศไทย ดำเนินรายการโดย จอมขวัญหลาวเพ็ชร์

วิทยากรแต่ละคนว่ากันอย่างไรบ้างเนื้อที่มีจำกัด ผมคงขอไฮไลท์เฉพาะรองประธานเครือซีพีเป็นหลักก่อน ด้วยมีความน่าสนใจยิ่ง เพราะที่ผ่านมาเครือซีพีถูกสร้างกระแสโจมตีอย่างหนักจากโลกโซเชียลมีเดีย ในเรื่องที่เป็นปัญหาอยู่นี้ขณะที่ศุภชัย เป็นทายาทของเจ้าสัว “ธนินท์เจียรวนนท์” ที่สร้างชื่อเสียงมาจากการบริหารงานด้านโทรคมนาคมซึ่งถือธุรกิจใหม่ของตระกูล โดยเป็นถึง CEO บริษัท ทรูคอร์ปอเรชั่น จำกัด มาก่อน และเพิ่งได้รับมอบหมายให้ดูแลงานธุรกิจการเกษตร ที่เป็นธุรกิจเก่าแก่ของตระกูล จึงเป็นที่จับตามองอยู่มาก

ศุภชัยแสดงความเห็นในงานนี้ว่าปัจจัยสำคัญของปัญหานี้ เกิดเพราะชาวบ้านไม่มีทางเลือกในการทำมาหากิน, ปัญหาสิทธิที่ทำกินที่ไม่ชัดเจน และปัญหาเกี่ยวกับโครงสร้างการเกษตร เช่น ขาดระบบชลประทาน ทำให้ข้าวโพดซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญ กลายเป็นทางเลือกของชาวบ้าน แต่ข้าวโพดก็ถูกมองเป็นตัวการทำลายป่า การแก้ไขจึงมีความท้าทายมาก และต้องดำเนินการควบคู่กับการแก้ปัญหาปากท้องชาวบ้าน ในส่วนเครือซีพีไม่ปฏิเสธความรับผิดชอบโดยเฉพาะปัญหาการปลูกข้าวโพดในพื้นที่ไม่มีเอกสารสิทธิ ซึ่งแม้บริษัทเริ่มปักหมุดว่า พื้นที่ส่งเสริมการปลูกข้าวโพดควรมีขอบเขต ไม่ให้รุกล้ำไปยังพื้นที่ป่า แต่ยอมรับว่า ที่ผ่านมา ไม่สามารถควบคุมทั้งหมดได้

“วันนี้โจทย์ใหญ่คือ เราจะทำอย่างไรให้ชาวบ้านมีชีวิตที่ดีขึ้น ได้รับสิทธิ์ในที่ทำกิน พร้อมทั้งยังดูเเลผืนป่าได้ โดยเอกชนต้องเข้าไปส่งเสริมว่า มีอาชีพหรือทางเลือกอะไรบ้าง ที่สามารถปลูกในพื้นที่ พร้อมทั้งสร้างมูลค่าที่ดีกว่า”

ศุภชัยย้ำว่า เครือซีพีตั้งใจจริง พร้อมร่วมแก้ปัญหาอย่างจริงจังและต่อเนื่อง โดยสิ่งที่กำลังทำคือ การส่งเสริมความรู้แก่ชุมชน ทำโครงการส่งเสริมพัฒนากับชุมชน ทั้งยอมรับว่า ที่ผ่านมาทำพลาดในการซื้อวัตถุดิบจากพ่อค้าคนกลาง แต่หลังจากนี้สิ่งที่บริษัทกำลังมองคือ ความยั่งยืน การผลิตที่รับผิดชอบต่อสังคม สิ่งแวดล้อมมากขึ้น เช่น ประกาศไม่รับซื้อข้าวโพดจากแหล่งปลูกที่ไม่มีเอกสารสิทธิ เป็นต้น แต่ก็มีข้อยกเว้นบางกรณี เช่น หากพื้นที่ดังกล่าวกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนแปลง ก็ยืนยันว่า จะไม่ลอยแพเกษตรกร และเพื่อฟื้นฟูเรื่องนี้ ต้องร่วมมือกับทางรัฐ และ NGOs เพราะอย่าลืมว่า ความเสียหายเกิดขึ้นเเล้ว วันนี้ต้องทำอย่างไรในทุกภาคส่วนได้มีส่วนร่วมกันแก้

“สิ่งที่ซีพีทำขณะนี้ คือช่วยแก้ปัญหาการปลูกในพื้นที่ไม่มีเอกสารสิทธิ แต่ในที่สุดรัฐต้องเข้าจัดการเรื่องนโยบาย ซึ่งปัญหาของชาวบ้านที่พบคือ การขาดองค์ความรู้ การบริหาร การต่อยอดผลิตภัณฑ์ และเรื่องที่ดินทำกิน” นายศุภชัย กล่าว

ต้องถือเป็นมิติที่น่าสนใจของบริษัทยักษ์ใหญ่ธุรกิจการเกษตรอย่างซีพี ในยุคของ“ศุภชัย”นี้ ที่จะลบล้างภาพลักษณ์ที่เป็นปัญหาจนถูกโจมตีหนักมาตลอด ส่วนจะเข้าไปช่วยแก้ไขปัญหานี้ได้จริง มากน้อยแค่ไหน ก็ต้องติดตามกันต่อไป และขอเอาใจช่วยด้วยครับ

สาโรช บุญแสง

Leave a comment