ส่องเกษตร : รีไซเคิลน้ำ(1)

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/210250

449007

วันพุธ ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2559, 06.00 น.

เรื่อง“น้ำ”ท่ามกลางสถานการณ์ภัยแล้งที่วิกฤติหนักและสิ่งผลกระทบไปทุกภาคส่วนของสังคมในเวลานี้ ยังคงเป็นประเด็นใหญ่ที่จะต้องร่วมด้วยช่วยกันมองหาหนทางที่จะดูแลแก้ไขอย่างยั่งยืน ไม่ใช่แค่ให้ผ่านไปปีๆ แล้วก็ต้องกลับมาเผชิญกับปัญหาซ้ำซากหรือเผชิญปัญหาที่ยิ่งหนักหนาสาหัสมากขึ้นเรื่อยๆ ตามสภาพการณ์ของโลกที่นับวันจะยิ่งเปลี่ยนไปในทางที่เลวร้ายยิ่งขึ้น

นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กล่าวตอนหนึ่งในรายการ “คืนความสุขให้คนในชาติ”ค่ำวันที่ 1 เมษายน ที่ผ่านมา ว่า“เราต้องทำให้คนไทยทุกคนรู้คุณค่าของน้ำมากกว่าเดิมว่า น้ำทุกหยดที่เรามีอยู่นั้น มีคุณค่ามหาศาล อย่าทิ้งแม้แต่หยดเดียว บางคนทิ้งทั้งขัน ทิ้งเป็นตุ่มอาบน้ำเหลือเฟือ ปลูกพืชใช้น้ำล้นจนเกินจำเป็น อันนี้ทำให้น้ำลดลง วันหน้าลดลงอีก เราต้องเตรียมการเรื่องจัดโครงการรีไซเคิลน้ำที่ใช้แล้ว น่าจะต้องเริ่มต้นปีนี้ให้ได้ สามารถรีไซเคิลน้ำให้ได้ประมาณ 20-30% ทุกกิจการ”

น่าสนใจยิ่งกับสิ่งที่พล.อ.ประยุทธ์พูดถึงเรื่อง “รีไซเคิลน้ำ” และไม่ใช่พูดเฉยๆ แต่ท่านสั่งการให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์,กระทรวงมหาดไทย,กระทรวงอุตสาหกรรม, กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) รวมทั้งหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง ไปวิจัยและพัฒนา ร่วมพิจารณาให้ได้ผลสัมฤทธิ์อย่างรวดเร็ว โดยให้ดูตัวอย่างประเทศสิงคโปร์-อิสราเอล และอีกหลายประเทศทำอย่างไร เราต้องเตรียมการตั้งแต่บัดนี้

ความจริงการ“รีไซเคิลน้ำ” เพื่อนำน้ำเสียกลับมาใช้ประโยชน์ใหม่นั้น หลายประเทศที่มีปัญหาขาดแคลนน้ำจืด น้ำสะอาดได้ดำเนินการกันมานานแล้ว ในขอบเขตใหญ่โตระดับประเทศ จนประสบความสำเร็จอย่างสูง โดยเฉพาะสิงคโปร์และอิสราเอลที่พล.อ.ประยุทธ์ยกเป็นตัวอย่าง ขณะที่หลายๆประเทศก็ทำกันเป็นบางส่วนตามความจำเป็น แม้กระทั่งในไทยเอง ภาคอุตสาหกรรมบางส่วนก็มีการรีไซเคิลน้ำมาใช้ในบางกิจกรรม หรือล่าสุดที่รัฐบาลโดยกรมโรงงานอุตสาหกรรมออกมาตรการช่วยบรรเทาภัยแล้งภาคการเกษตร โดยผ่อนผันให้นำน้ำเสียจากโรงงานบางประเภทที่ผ่านกระบวนการบำบัดจนคุณภาพน้ำได้มาตรฐาน ให้นำไปใช้ในภาคเกษตรกรรมได้ ก็ถือเป็นการรีไซเคิลน้ำเช่นกัน

แต่ถ้าจะทำกันจริงจังทั้งระบบทุกภาคส่วนเพื่อรองรับปัญหา “น้ำ” ในอนาคตอย่างยั่งยืน ให้สามารถรีไซเคิลน้ำใช้ได้
20-30% ในทุกกิจการ แบบที่พล.อ.ประยุทธ์ว่า ก็จำเป็นจะต้องวางแผนกันในระดับชาติอย่างจริงจังและอย่างที่ท่านนายกฯบอก จะต้องถอดบทเรียนจากประเทศที่เขาทำแล้วประสบความสำเร็จมาเป็นแบบอย่างจริงๆ ไม่ใช่เหมือนที่ผ่านมาคือ ไปดูงานเขามาแล้ว ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง แต่ไม่มีความคิดอะไร นำมาใช้แก้ไขปัญหาของไทยเลย

ดูตัวอย่างของสิงคโปร์ซึ่งเป็นศูนย์กลางธุรกิจสำคัญของอาเซียน แต่ด้วยภูมิประเทศที่เป็นเพียงเกาะเล็กๆปริมาณน้ำมีจำกัด จึงเผชิญปัญหาขาดแคลนน้ำจืด จนต้องพึ่งพาการนำเข้าน้ำจากมาเลเซียมาหลายสิบปี กลายเป็นปัญหาด้านความมั่นคงด้วย จำเป็นต้องดิ้นรนพัฒนาเรื่อง“น้ำ”ให้มีเพียงพอต่อความต้องการในประเทศอย่างไม่ย่อท้อ

และด้วยวิสัยทัศน์ผู้นำประเทศที่ตั้งเป้าหมายให้สิงคโปร์จะต้องพึ่งพาทรัพยากรน้ำของตัวเองให้ได้เพียงพอ ก่อนที่ข้อตกลงสั่งซื้อจากมาเลเซียฉบับล่าสุดจะหมดอายุลงในปีพ.ศ.2604 หรืออีก 45 ปีข้างหน้า จึงทำให้สิงคโปร์เอาจริงเอาจัง ทุ่มเทกับการดำเนินโครงการโรงงานรีไซเคิลน้ำ ด้วยระบบที่ทันสมัย กระทั่งกลายเป็นผู้นำด้านการบริหารจัดการด้านน้ำในภูมิภาคนี้ โดยเปิดใช้โรงงานรีไซเคิลน้ำแห่งแรกเมื่อปีพ.ศ.2546 น้ำที่ผลิตได้ใช้ชื่อว่า NEWater ถูกนำไปผสมกับน้ำจากอ่างเก็บน้ำต่างๆ ก่อนส่งผ่านระบบประปาไปยังผู้บริโภค ซึ่งน้ำประปาสิงคโปร์ได้ชื่อว่าปลอดภัย สามารถดื่มจากก๊อกได้เลย

ปัจจุบันสิงคโปร์มีโรงงานรีไซเคิลน้ำและโรงงานผลิตน้ำจืดจากน้ำทะเลอีกหลายแห่ง ด้วยกระบวนการแยกเกลือออกจากน้ำทะเล ซึ่งสามารถผลิตน้ำจืดได้ราวร้อยละ 40 ของปริมาณน้ำ 340 ล้านแกลลอนที่โรงงานอุตสาหกรรมและพลเมืองทั้งหมด 5 ล้านกว่าคน ของสิงคโปร์ ใช้บริโภคในแต่ละวัน นอกจากนี้ เขื่อนที่อยู่ใจกลางเมืองยังสามารถผลิตน้ำสนองการบริโภคได้อีก ร้อยละ 10 ส่วนที่เหลือได้จากอ่างเก็บน้ำต่างๆ แต่ก็ยังไม่เพียงพอ ต้องอาศัยน้ำที่นำเข้าจากมาเลเซียอยู่ ดังนั้นจึงยังเดินหน้าตั้งโรงงานรีไซเคิลน้ำเพิ่ม

แต่แค่โรงงานรีไซเคิลน้ำ ไม่ใช่ทั้งหมดของการแก้ปัญหาขาดแคลนน้ำของสิงคโปร์ ยังมีอะไรอีกหลายอย่างที่ควรจะเป็นบทเรียนสำหรับไทยด้วย ผมคงต้องไปว่าต่อในสัปดาห์หน้า

สาโรช บุญแสง

Leave a comment