ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
http://www.thairath.co.th/content/604797
โดย คุณนิติ นวรัตน์ 13 เม.ย. 2559 05:01

ผู้อ่านท่านเตือนมาว่า อย่าเอาแต่การเมืองการปกครองของพวกตะวันตกมาเขียนให้มากนักเลย ให้เขียนถึงการเมืองการปกครองของพวกเราชาวตะวันออกบ้าง ขอบคุณสำหรับคำแนะนำ เอาละเริ่มกันเลยนะครับ ผมขอเริ่มจากการเกิดและการล่มสลายของอาณาจักรและจักรพรรดิต่างๆ ซึ่งที่น่าสนใจที่สุดก็คือ การเมืองการปกครองของจีนตั้งแต่สมัยมหาอาณาจักรฉิน จนถึงการสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน
ชายคนหนึ่งชื่อ หยังเจียน เป็นชนชั้นสูงของราชวงศ์โจวเหนือ ผู้นี้สั่งถอดพระเจ้าโจวจิ้งตี้ซึ่งมีพระชนมายุเพียง 8 พรรษา ออกจากตำแหน่งจักรพรรดิ และขึ้นครองบัลลังก์เอง เปลี่ยนนามแผ่นดินเป็นราชวงศ์สุย ตั้งเมืองหลวงที่ต้าซิ่ง (ปัจจุบันคือ เมืองซีอาน มณฑลส่านซี) หลังจากนั้น คนชั้นสูงหยังเจียนก็กลายมาเป็นพระเจ้าสุยเหวินตี้
พระเจ้าสุยเหวินตี้มีความขัดแย้งในบุคลิกภาพ ภายนอกเน้นเรื่องความมัธยัสถ์ ปฏิบัติพระองค์เป็นตัวอย่าง แต่ในพระราชวังกลับใช้กำลังคนและกำลังทรัพย์มหาศาล แม้ในฉางหลวงและฉางสาธารณะจะสะสมเสบียงอาหารไว้เป็นจำนวนมาก แต่เมื่อเกิดทุพภิกขภัย พระเจ้าสุยเหวินตี้กลับไม่ยอมเปิดฉางบรรเทาทุกข์ราษฎร ที่แย่ที่สุดเลยก็คือ พระเจ้าสุยเหวินตี้มีนิสัยหวาดระแวง ทำให้ผู้มีความดีความชอบต่อแผ่นดินหลายคนถูกฆ่า หรือถูกปลดจากตำแหน่ง สุดท้ายจึงขาดคนดีคนเก่งทำงาน
เมื่อพระเจ้าสุยเหวินตี้สวรรคต หยังก่วง โอรสองค์รองขึ้นครองราชย์ เป็นพระเจ้าสุยหยังตี้ และองค์นี้นี่เองครับ ที่ทำให้ราชวงศ์สุยล่มในระยะเวลาอันสั้น พระเจ้าสุยหยังตี้สถาปนาเมืองลั่วหยังเป็นราชธานีตะวันออกที่ต้องเกณฑ์ราษฎรมากถึง 2 ล้านคนมาก่อสร้างในแต่ละเดือน และเพื่อความสะดวกในการประพาสภาคใต้ พระเจ้าสุยหยังตี้ สั่งให้เกณฑ์แรงงานหลายล้านคนไปขุดคลองทงจี้ฉว์ คลองซานหยังตู๋ คลองเจียงหนานเหอ นอกจากนั้น ยังเกณฑ์แรงงานมาสร้างถนนหลวงและซ่อมกำแพงเมืองจีนอีก
พระเจ้าสุยหยังตี้ครองราชย์อยู่สิบกว่าปี แต่วันเวลานาทีที่พำนักอยู่ในเมืองหลวงรวมกันทั้งหมดแล้ว กลับมีไม่ถึง 1 ปี พระองค์ชอบเสด็จ ประพาสต่างเมือง ซึ่งในขบวนตามเสด็จแต่ละครั้ง จะมีนางสนม ขุนนางทั้งฝ่ายบู๊ ฝ่ายบุ๋น และคนรับใช้มากถึง 1-2 แสนคน ขบวนเรือในการเสด็จแต่ละครั้งมีมากกว่า 5 พันลำ แล่นต่อกันยาวถึง 200 กว่าลี้ ใช้คนลากเรือมากกว่า 8 หมื่นคน ทั้งสองฝั่งคลองมีทหารประจำการคอยอารักขามากกว่า 2 แสนคน เมืองรายทางเสด็จจะต้องดูแลถวายอาหารและเครื่องใช้ ซึ่งขุนนางและราษฎรในท้องถิ่นต้องตระเวนจัดหากันมาด้วยความยากลำบากแสนเข็ญ
ความต้องการแผ่แสนยานุภาพ พระเจ้าสุยหยังตี้ไปตีเกาหลีถึง 3 ครั้ง เกณฑ์ทหารมากถึง 3 ล้าน แต่ก็แพ้ทุกครั้ง แม้แต่สตรีก็ต้องเป็นทหาร ช่างฝีมือยืนอยู่ในน้ำตลอดวันเพื่อเร่งสร้างเรือรบ ท่อนล่างของช่างฝีมือแช่น้ำจนเป็นแผลเน่าเปื่อยตาย
แม้เกิดทุพภิกขภัย แต่ราชสำนักก็ไม่เคยเปิดฉางหลวงช่วยเหลือ เมื่อราษฎรไม่มีกิน จึงนัดรวมตัวกันต่อต้าน ขุนนางตามหัวเมืองก็ก่อกบฏและสังหารพระเจ้าสุยหยังตี้ ราชวงศ์สุยยืนยาวได้นานเพียงแค่ 37 ปี (ค.ศ.581-618) ก็ถึงกาลล่มสลาย
นักประวัติศาสตร์จีนวิเคราะห์ตรงกันว่า ราชวงศ์สุยพังเพราะมัวแต่ก่อสร้างสิ่งต่างๆ ที่ล้วนมีขนาดใหญ่โตโอฬาร ราษฎรอดอยากยากแค้นแสนลำเค็ญก็ไม่สนใจ ยังคงใช้ทรัพย์มหาศาลในการเสด็จ ประพาสตามหัวเมือง
สมัยพระเจ้าสุยเหวินตี้ พระองค์ยกเลิกกองกำลังทหารท้องถิ่น และรวบอำนาจมาไว้ที่ศูนย์กลาง จนมาถึงสมัยพระเจ้าสุยหยังตี้ เมื่อผู้คนอดอยากก่อจลาจล ส่วนท้องถิ่นก็ไม่มีใครมีอำนาจควบคุม ส่วนกลางก็อ่อนแอ สุดท้ายสถานการณ์ก็ลงเหว
เรื่องส่วนท้องถิ่น ส่วนภูมิภาค และส่วนกลาง ทำให้การปกครองบริหารราชการแผ่นดินพังมาเยอะหลายประเทศแล้วครับ ผมอ่านประวัติศาสตร์ก็พบว่า ยุคใดที่พระเจ้ากรุงจีนให้ความสำคัญกับท้องถิ่น ในยุคนั้นบ้านเมืองมักสงบสุขและรุ่งเรือง
ในยุคที่พระเจ้ากรุงจีนไม่ให้เกียรติท้องถิ่น ส่งคนจากส่วนกลางไปปกครองในภูมิภาคโดยที่ไม่ได้รับการยอมรับจากผู้คนในท้องถิ่นนั้น ยุคนั้นก็มักจะมีปัญหา
มนุษย์ก็คือมนุษย์ จะอยู่ตรอกซอกมุมไหนของโลกก็มีความชอบและไม่ชอบเหมือนกัน และก็ไม่เกี่ยวกับเรื่องเวลา
จะห้าพันปีที่แล้วหรือปัจจุบันทุกวันนี้
มนุษย์ล้วนไม่ชอบผู้ปกครองเผด็จการ.
คุณนิติ นวรัตน์
songlok@outlook.co.th
www.nitipoom.media
www.facebook.com/nitipoom.thailand