ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
http://www.thairath.co.th/content/605630
โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 14 เม.ย. 2559 03:30

(ภาพ: AFP)
เมื่อ 12 เม.ย. ประธานาธิบดีหญิง ดิลมา รุสเซฟฟ์ แห่งบราซิล ยังเผชิญศึกหนักทางการเมืองอย่างต่อเนื่อง หลังนายอากีนัลโด ริเบอิโร แกนนำ ส.ส. ของพรรคโปรเกรสซีฟ (พีพี) ซึ่งถือเป็นพันธมิตรร่วมรัฐบาลกับนางรุสเซฟฟ์ เผยว่า จากมติเสียงส่วนใหญ่ของพรรคตัดสินใจแล้วว่าขอถอนตัวจากการเป็นพรรครัฐบาลร่วม และ ส.ส.ส่วนใหญ่อีก 47 คนของพรรคพีพีก็จะร่วมลงมติกกระบวนการถอดถอน (อิมพีชเมนต์) นางรุสเซฟฟ์ในวันอาทิตย์ที่ 17 เม.ย.นี้ ขณะที่นายมาร์ก โทเนอร์ โฆษกประจำกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ เชื่อมั่นว่ารัฐบาลบราซิลจะสามารถผ่านพ้นวิกฤติทางการเมืองนี้ไปได้
ขณะเดียวกัน นางรุสเซฟฟ์กล่าวต่อคณะครูอาจารย์และนักเรียนที่ทำเนียบประธานาธิบดีที่กรุงบราซิเลีย ยังคงกล่าวโทษรองประธานาธิบดี มิเชล เทเมอร์ กับนายเอดูอาร์โด กุนญา ประธานสภาผู้แทนฯ ที่ร่วมกันวางแผนหวังขับไล่ตัวเธอเองให้หลุดพ้นจากอำนาจเพื่อจะได้เข้ายึดครองตำแหน่งแทน และรู้สึกตกใจเมื่อคลิปเสียงของนายเทเมอร์หลุดรั่วออกมาเพราะเป็นการก่อกบฏโจมตีตัวเองและโจมตีระบอบประชาธิปไตย และถือว่าหน้ากากของการสมรู้ร่วมคิดหล่นลงมาแล้ว
ด้านนายเทเมอร์ซึ่งให้สัมภาษณ์กับทางสถานีโทรทัศน์ข่าว โกลโบ นิวส์ ช่วงค่ำวันเดียวกัน ตามเวลาท้องถิ่น เผยด้วยท่าทีผ่อนคลายและยิ้มว่า ตนพร้อมที่จะเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี หากโชคชะตาทำให้ตนต้องอยู่ในตำแหน่งนั้น พร้อมปฏิเสธว่าไม่ได้วางแผนโค่นล้มนางรุสเซฟฟ์ รวมถึงการลาออกหากมติ ส.ส.ในสภาคัดค้านการอิมพีชเมนต์ ที่ตนเป็นฝ่ายผลักดัน
ขณะที่นายเนลสัน บาร์โบซา รัฐมนตรีกระทรวงการคลังบราซิล ก็ตัดสินใจยกเลิกการเข้าร่วมประชุมของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ที่กรุงวอชิงตัน ในสหรัฐฯ เพื่อร่วมลงมติอิมพีชเมนต์ ส่วนทางไอเอ็มเอฟก็มองว่า ภาวะที่ซบเซาทางเศรษฐกิจของบราซิลอาจจะลากยาวไปอีก 2 ปีข้างหน้า
อย่างไรก็ตาม นายเคลาดิโอ คูโต นักรัฐศาสตร์ประจำสถาบันระดับชั้นหัวกะทิในบราซิล เผยว่ามาถึงจุดนี้ นายเทเมอร์ดูเหมือนมีข้อเสนอที่มากกว่านางรุสเซฟฟ์ ซึ่งกลุ่ม ส.ส.ในสภาต้องคิดคำนวณให้ดีว่าจะอยู่กับรัฐบาลที่อ่อนแอมากจนแทบจะไม่สามารถบริหารประเทศได้อีกต่อไปหรือจะเดิมพันอนาคตกับนายเทเมอร์ซึ่งมีกลุ่มผู้สนับสนุนมากกว่า และมีแนวคิดที่จะเรียกความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจให้กลับคืนมาโดยเร็ว จากที่เคยเป็นประเทศที่เศรษฐกิจเติบโตเป็นอันดับ 7 ของโลก แล้วต้องประสบปัญหาเศรษฐกิจซบเซาหนักและคดีอื้อฉาวการคอร์รัปชันครั้งมโหฬาร.