ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
http://www.thairath.co.th/content/605654
โดย ไทยรัฐออนไลน์ 15 เม.ย. 2559 05:30

(ภาพ: AFP)
เมื่อ 3 เม.ย. ทั่วโลกต้องตกตะลึงเมื่อสื่อหลายสำนักออกมาเปิดโปงข้อมูลลับที่รั่วไหลออกมาจากบริษัทกฎหมาย ‘มอสแซค ฟอนเซกา‘ ในปานามา แฉว่า ผู้นำประเทศทั้งอดีตและปัจจุบันนับสิบคนรวมทั้งคนดังและเศรษฐีอีกหลายร้อย มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทนอกอาณาเขตของประเทศตัวเอง ซึ่งอาจพัวพันการการฟอกเงินหรือการซุกทรัพย์สิน
ข้อมูลลับดังกล่าวมาจากไฟล์เอกสารจำนวน 11.5 ล้านฉบับ ขนาด 2.6 เทราไบต์ และตอนนี้ถูกเรียกว่า ‘ปานามา เปเปอร์ส‘ หรือ ‘เอกสารปานามา‘ เรื่องนี้ทำให้นายกรัฐมนตรี ซิกมุนตูร์ กุนลอคสัน แห่งไอซ์แลนด์ต้องลาออกจากตำแหน่ง และอีกหลายคนกำลังถูกตรวจสอบ
แต่นี่ไม่ไช่เหตุเปิดโปงข้อมูลลับครั้งใหญ่ที่เคยเกิดขึ้นบนโลกอันยุ่งเหยิงใบนี้ ในอดีตเคยมีการแฉความลับชนิดช็อกโลกมาแล้วหลายครั้ง และต่อไปนี้คือการเปิดโปง หรือข้อมูลรั่วไหลที่สร้างความตกตะลึงแก่โลกมากที่สุด
1. เอกสารเพนตากอน (The pentagon Papers)
เอกสารเพนตากอน เป็นบันทึกการมีส่วนร่วมทางการเมืองและการทหารของสหรัฐฯ ในเวียดนามระหว่างปี ค.ศ.1945-1967 จำนวนกว่า 7,000 หน้า จัดทำโดยกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ เอกสารลับนี้ถูกพบโดยนาย แดเนียล เอลส์เบิร์ก ศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์ผู้ทำงานให้กับ สถาบันแลนด์ (Rand Corporation) และได้รับการเผยแพร่สู่สาธารณะเป็นครั้งแรกบนหน้า 1 ของหนังสือพิมพ์ นิวยอร์กไทม์ส ในเดือน มิ.ย. 1971
การเปิดเผยเอกสารลับนี้เป็นหนึ่งในเรื่องที่สร้างความตกตะลึดที่สุดในยุคนั้น ซึ่งเต็มไปด้วยความลับ, การโกหก และการเสียดสี โดยเอกสารแสดงให้เห็นว่า รัฐบาลของประธานาธิบดี ลินดอน บี.จอห์นสัน และอื่นๆ โกหกเกี่ยวกับเหตุและผลของความขัดแย้งในเวียดนามอย่างเป็นระบบต่อทั้งสังคมและสภาคองเกรส โดย ประธานาธิบดีจอห์นสัน บอกกับสังคมว่า เป้าหมายในสงครามเวียดนามคือเสรีภาพของเวียดนามใต้ แต่โรเบิร์ต แมคนามารา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในยุคนั้น ซึ่งเป็นคนสั่งให้จัดทำเอกสารเพนตากอน ระบุว่าเป้าหมายที่แท้จริงของสหรัฐฯ ไม่ใช่เพื่อช่วยเพื่อน แต่เพื่อควบคุมจีนต่างหาก
เอกสารยังระบุด้วยว่า สหรัฐฯ แอบขยายขอบเขตของสงครามเวียดนามด้วยการทิ้งระเบิดในกัมพูชาและลาม รวมทั้งบุกโจมตีชายฝั่งทางเหนือของเวียดนามและใช้นาวิกโยธินในการโจมตี ซึ่งเรื่องเหล่านี้ไม่ได้รับการเปิดเผยในสื่อกระแสหลัก
2. บันทึกสงครามอิรัก (Iraq War Logs)
บันทึกสงครามอิรัก เป็นชื่อเรียกของข้อมูลลับเกี่ยวสงครามอิรักที่ถูกเผยแพร่สู่สาธารณะโดยเว็บไซต์จอมแฉ ‘วิกิลีกส์‘ ในเดือน ต.ค. 2010 โดยข้อมูลนี้มาจาก ‘รายงานภาคสนามของกองทัพ‘ ระหว่างปี 2004-2009 เปิดเผยจำนวนที่แท้จริงของพลเรือนที่เสียชีวิตในสงครามครั้งนี้ ซึ่งอยู่ที่ 66,081 รายจากผู้เสียชีวิตทั้งหมด 109,000 คน
ผลจากการเปิดเผยครั้งนี้ ทำให้หน่วยงาน ไอบีซี (Iraq Body Count) ของอิรักซึ่งคอยบันทึกสถิติผู้เสียชีวิตเพราะการรุกรานของสหรัฐฯ ในอิรัก เพิ่มจำนวนพลเรือนผู้เสียชีวิตราว 15,000 ราย ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่ได้รับการบันทึกโดยสหรัฐฯ ลงในสถิติของพวกเขา และระบุด้วยว่า ทหารสหรัฐฯ บางส่วนจัดพลเรือนที่เสียชีวิตให้อยู่ในกลุ่มศัตรู รวมทั้งนักข่าว 2 คนที่เสียชีวิตในเหตุยิงพวกเดียวกันเองในเดือน ก.ค. 2007 ด้วย

3. บันทึกดาวนิง สตรีท (Downing Street Memo)
บันทึกดาวนิง สตรีท เป็นบันทึกการสนทนาระหว่างการประชุมลับเมื่อวันที่ 23 ก.ค. 2002 ระหว่างเจ้าหน้าที่อาวุโสของรัฐบาลสหราชอาณาจักร, เจ้าหน้าที่กลาโหมและหน่วยข่าวกรอง ในเรื่องการก่อตัวขึ้นของสงครามอิรัก และมีการอ้างถึงนโยบายลับของสหรัฐฯ โดยตรง ก่อนถูกเผยแพร่โดยสำนักข่าว ซันเดย์ ไทม์ส ในวันที่ 1 พ.ค. 2005
บันทึกดังกล่าวบันทึกคำพูดของหัวหน้าหน่วยสืบราชการลับอังกฤษ (เอ็มไอ6) ซึ่งแสดงความเห็นหลังจากเพิ่งเดินทางเยือนสหรัฐฯ ว่า ประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบลยู.บุช ต้องการกำจัดซัดดัม ฮุสเซน ด้วยปฏิบัติการทางทหาร สร้างความชอบธรรมโดยเชื่อมโยงเขาเข้ากับลัทธิก่อการร้ายและอาวุธอานุภาพทำลายล้างสูง โดยใช้ข้อมูลข่าวกรองที่น่าสงสัย และหลักฐานที่เชื่อมโยงฮุสเซนกับก่อการร้ายก็ไม่แน่นหนาเหมือนที่บอกกับสังคม
บันทึกนี้ยังเผยให้รู้ด้วยว่า อิรักของฮุสเซนครอบครองอาวุธอานุภาพทำลายล้างสูงน้อยกว่าลิเบีย, อิหร่าน หรือ เกาหลีเหนือเสียอีก

4. ปฏิบัติการเนื้อสับ (Operation Mincemeat)
ปฏิบัติการเนื้อสับ เป็นชื่อของแผนการหนึ่งที่เกิดขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยฝ่ายสัมพันธมิตร เป็นส่วนหนึ่งของแผนการที่ใหญ่กว่าคือ ‘ปฏิบัติการบาร์เคลย์‘ เพื่อยึดหมู่เกาะซิซิลี
ปฏิบัติการเนื้อสับเกิดขึ้นเพื่อลวงผู้บัญชาการกองทัพเยอรมันให้เชื่อว่า กองทัพฝ่ายสัมพันธมิตรกำลังมุ่งหน้าไปยังกรีซและแคว้นซาร์ดิเนียของอิตาลีแทน ด้วยการปล่อยข้อมูลลับปลอมให้แก่ฝ่ายเยอรมนี ด้วยการซ่อนเอกสารปลอมนี้ไว้ในศพศพหนึ่งซึ่งถูกคลื่นซัดไปเกยชายหาดในประเทศสเปน และเมื่อทหารเยอรมันพบศพและพบเอกสารลับ พวกเขาก็คัดลอกสิ่งที่พวกเขาเชื่อว่าเป็นแผนบุกจู่โจมที่แม่นยำ ก่อนส่งศพคืนอังกฤษ โดยใส่เอกสารลับ (ปลอม) นี้ไว้ในตัวศพด้วยเพื่อแสดงความจริงใจ
แผนการของฝ่ายสัมพันธมิตรดำเนินไปด้วยดี ดีมากเสียจนเยอรมนีไม่เชื่อข้อมูลของจริงเกี่ยวกับแผนยึดหมู่เกาะซิซิลี ที่รั่วไหลออกมาในภายหลัง
5. ไดอารี่สงครามอัฟกัน (Afghan War Diary)
ไดอารี่สงครามอัฟกัน เป็นหนึ่งในข้อมูลที่เว็บไซต์จอมแฉ ‘วิกิลีกส์‘ เปิดเผยสู่สาธารณะเมื่อเดือน ก.ค. 2010 โดยเผยแพร่ผ่านสื่อยักษ์ใหญ่หลายสำนัก ข้อมูลนี้มากจากบันทึกของกองทัพสหรัฐฯ เกี่ยวกับสงครามในอัฟกานิสถานทั้งหมดกว่า 91,000 ฉบับ แต่ได้รับการเปิดเผยสู่สาธารณะราว 75,000 ฉบับ
บันทึกดังกล่าวครอบคลุมช่วงเวลาเกือบ 6 ปี ระหว่างเดือน ม.ค. 2004 – ธ.ค. 2009 เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการเสียชีวิตของพลเรือนอัฟกันจำนวนหลายร้อยคนโดยฝีมือของกองกำลังพันธมิตรและการยิงพวกเดียวกันเอง ที่สหรัฐฯ ไม่เคยรายงาน, การเพิ่มขึ้นของการโจมตีของกลุ่มก่อการร้ายตาลีบัน และรายละเอียดว่าหน่วยข่าวกรองของปากีสถานและอิหร่านทำงานร่วมกับกลุ่มตาลีบันอย่างไร

6. การทดลองโรคซิฟิลิสแห่งทัสคีจี (Tuskegee Syphilis Experiment)
การทดลองโรคซิฟิลิสแห่งทัสคีจี เห็นหนึ่งในการศึกษาทางการแพทย์ที่อื้อฉาวที่สุด เกิดขึ้นโดยแผนกบริการสาธารณสุข (พีเอชเอส) ของกระทรวงสาธารณสุขสหรัฐฯ ที่เมืองทัสคีจี รัฐแอละแบมา โดยเจ้าหน้าที่จงใจไม่รักษาชาวแอฟริกันอเมริกันผู้ติดเชื้อซิฟิลิสที่เข้าร่วมการศึกษาโดยไม่แจ้ง เพื่อศึกษาผลกระทบระยะยาวของโรคนี้
การทดลองนี้เริ่มขึ้นในปี 1932 ในช่วงภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ในอเมริกาเหนือและยุโรป โดยพีเอชเอสร่วมมือกับมหาวิทยาลับทัสคีจี จัดหาชายชาวแอฟริกันอเมริกันจำนวน 600 คนมาเข้าร่วมการทดลองซึ่งพวกเขาอ้างว่าเป็นการรักษาโรคเลือด แต่ไม่ระบุว่าเป็นซิฟิลิส โดยแลกกับการรักษาพยาบาล, อาหาร และประกันชีวิตฟรี
การรักษาดำเนินไปได้สักพัก ทุนสำหรับการรักษาก็หมดลง แต่การศึกษายังดำเนินต่อไปโดยไม่มีการแจ้งให้ผู้เข้าร่วมการทดลองรู้ว่าพวกเขาไม่ได้รับการรักษาแล้ว ไม่มีผู้ร่วมทดลองคนใดได้รับแจ้งว่าพวกเขาติดเชื้อซิฟิลิส และไม่มีการรักษาโรคด้วยยาปฏิชีวนะ ‘เพนิซิลิน‘ แม้ยาตัวนี้จะได้รับอนุมัติให้ใช้รักษาซิฟิลิสแล้วก็ตาม
การทดลองนี้ดำเนินไปนานถึง 40 ปี กระทั่งในปี 1972 นาย ปีเตอร์ บูกซ์ตุนนักระบาดวิทยาผู้ทำงานให้กับพีเอชเอส จะออกมาเปิดเผยเรื่องนี้ต่อสาธารณะ ทำให้การทดลองถูกยกเลิก มีการสืบสวนดำเนินคดีและตั้งข้อหาผู้ประทำผิดหลายคน และสุดท้ายรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ก็ต้องจ่ายเงินชดเชยแก่ครอบครัวของผู้เสียหายเป็นเงินรวม 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
7. คดีวอเตอร์เกต (The Watergate Scandal)
คดีวอเตอร์เกต ใขยุคประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน แห่งสหรัฐฯ เป็นหนึ่งในเรื่องรั่วไหลสุดอื้อฉาวซึ่งเป็นที่รู้จักมากที่สุด เริ่มต้นขึ้นเมื่อวันที่ 17 มิ.ย. โดยชายถูกจับกุมในข้อหาบุกรุกลับลอบเข้าไปในสำนักงานใหญ่ของคณะกรรมการแห่งชาติพรรคเดโมแครต ที่โรงแรมวอเตอร์เกต คอมเพล็กซ์ ในกรุงวอชิงตันดีซี และติดตั้งสายดักฟังโทรศัพท์เอาไว้ ซึ่งสำนักงานสอบสวนกลางของสหรัฐฯ หรือ เอฟบีไอ ทำการสืบสวนต่อไปจนกระทั่งพบความเชื่อมโยงระหว่างเงินสดที่พบในตัวผู้ต้องสงสัยกับ ‘คณะกรรมการเพื่อการเลือกตั้งประธานาธิบดีสมัยที่ 2’ ผู้สนับสนุนทางการเงินในการเลือกตั้งครั้งที่ 2 ของประธานาธิบดีนิกสัน แต่การสืบสวนกลับหยุดชะงักลง โดยเชื่อกันว่าถูกขัดขวางโดยทำเนียบขาว
อย่างไรก็ตาม ในช่วงปลายปี 1972 มีแหล่งข่าวปริศนารายหนึ่งใช้นามแฝงว่า ‘ดีป โธต’ (Deep Throat) ซึ่งเปิดเผยในภายหลังว่าคือนาย มาร์ก เฟลต์ อดีตเจ้าหน้าที่เอฟบีไอ คอยส่งข้อมูลต่างๆ ของคดีนี้ให้แก่ คาร์ล เบิร์นสไตน์ และ บ็อบ วูดวาร์ด นักข่าวของสำนักข่าว วอชิงตัน โพสต์ โดยแฉว่า คณะทำงานของประธานาธิบดีนิกสันมีส่วนเกี่ยวข้องกับการติดตั้งเครื่องดักฟัง และเปิดเผยเป็นครั้งแรกว่า ทำเนียบขาวเป็นฝ่ายสั่งให้ เอฟบีไอ และ สำนักงานข่าวกรองกลาง หรือ ซีไอเอ หยุดการสืบสวนคดีนี้ โดยอ้างเหตุผลด้านความมั่นคง
การสืบสวนคดีนี้ยังทำให้รู้ว่า ประธานาธิบดีนิกสันแบบติดตั้งเครื่องดักฟังเอาไว้ในทำเนียบขาวมาโดยตลอด เพื่อบันทึกการสนทนาทั้งทางโทรศัพท์และส่วนตัว คณะกรรมการพิเศษซึ่งตั้งขึ้นเพื่อสืบสวนคดีนี้โดยเฉพาะ จึงขอให้นายนิกสันส่งมอบเทปบันทึกเสียงให้เจ้าหน้าที่ ซึ่งในช่วงแรกเขาไม่ยอม แต่หลังจากเกิดการเดินขบวนประท้วงต่อต้านของประชาชนและการฟ้องร้องต่อศาล จนในที่สุดนายนิกสันก็ต้องยอมส่งมอบเทปตามคำสั่งศาลสูงสุดในเดือน ก.ค. 1974 ซึ่งเทปนี้กลายเป็นหลักฐานว่า นายนิกสันสั่งให้ผู้ช่วยแทรกแซงการทำงานของเอฟบีไอ นำไปสู่การลาออกของนายนิกสันในวันที่ 8 ส.ค. 1974 ทำให้เขากลายเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนแรกและคนเดียวที่ลาออกจากตำแหน่ง
8. โครงการสอดแนม ‘พริซึม’ (PRISM)
ในวันที่ 6 มิ.ย. 2013 สำนักข่าว เดอะ การ์เดียน ของอังกฤษ ออกมาแฉว่าสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติ (เอ็นเอสเอ) ของสหรัฐฯ ดักฟังและเก็บรวบรวมการสนทนาทางโทรศัพท์ของลูกค้าของบริษัท เวอไรซอน ผู้ให้บริการโทรคมนาคมในสหรัฐฯ จำนวนหลายล้านคนเอาไว้ ตามอำนาจที่ได้จากคำสั่งลับสุดยอดของศาลสหรัฐฯ ซึ่งออกในเดือน เม.ย. จากนั้น โลกก็ได้รู้จักชื่อของเอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน เจ้าหน้าที่เทคนิคสัญญาจ้างของเอ็นเอสเอ และอดีตเจ้าหน้าที่ซีไอเอ หลังเขาออกมาเปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับโครงการสอดแนมทางอิเล็กทรอนิกส์ลับสุดยอดของเอ็นเอสเอที่มีชื่อรหัสว่า ‘พริซึม’ ผ่านสำนักข่าววอชิงตันโพสต์ และ เดอะการ์เดียน
ข้อมูลที่ได้จากสโนเดนระบุว่า ด้วยโปรแกรมนี้ เอ็นเอสเอจะสามารถเก็บข้อมูลอีเมล, ข้อมูลเสียง และวิดีโอแชต รวมทั้งวิดีโอ, รูปภาพ และลายละเอียดบนเครือข่ายสังคมออนไลน์ได้ โดยเอ็นเอสเอร่วมมือกับเอฟบีไอ เก็บรวบรวมข้อมูลเหล่านี้จากเซิร์ฟเวอร์กลางของบริษัทอินเทอร์เน็ต 9 แห่ง รวมถึง กูเกิล, เฟซบุ๊ก และ แอปเปิล การเปิดโปงครั้งนี้ยังทำให้รู้ว่าสหรัฐฯ แอบดักฟังโทรศัพท์ของผู้นำประเทศต่างๆ ทั้งศัตรูและมิตร เรียกเสียงประณามจากทุกสารทิศสู่คณะทำงานของประธานาธิบดีบารัค โอบามา โดยโจมตีว่าเป็นการละเมิดสิทธิ์ความเป็นส่วนตัว ซึ่งนายโอบามาได้ออกมาปกป้องโครงการนี้ อ้างว่ามันสามารถช่วยป้องกันการโจมตีของผู้ก่อการร้ายได้
ในปัจจุบันกระแสของเรื่องนี้เริ่มเงียบลง แต่ทว่าชะตากรรมของสโนเดนยังไม่เป็นที่แน่ชัด โดยตอนนี้เขาลี้ภัยอยู่ในประเทศรัสเซียมานานกว่า 2 ปีแล้ว และยังไม่มีทีท่าว่าจะได้เดินทางกลับบ้านเกิด ในขณะที่เจ้าหน้าที่รัฐบาลสหรัฐฯ หลายคนประกาศจะนำตัวชายหนุ่มผู้นี้มาพิพากษาความผิดฐานเปิดเผยความลับของประเทศ.




