ระวังญีฮาด

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/606765

โดย คุณนิติ นวรัตน์ 18 เม.ย. 2559 05:01

 

หนึ่งในฝันของผมก็คือ การให้ภาษา ศิลปวัฒนธรรม และจิตวิญญาณมลายูท้องถิ่น ยังคงอยู่ใน 3 จชต. เพื่อที่จะให้สิ่งเหล่านี้เป็นสะพานเชื่อมไทยไปสู่อินโดนีเซีย มาเลเซีย และบรูไน ซึ่งมีคนใช้ภาษาและวัฒนธรรมมลายูเกือบ 300 ล้านคน

ต้องขอบคุณ มติ ครม. 13 มีนาคม 2555 ว่าด้วยการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ส่งเสริมและสนับสนุนให้หมู่บ้าน หน่วยราชการ ทั้งโรงเรียน โรงพยาบาล สถานีอนามัย อำเภอ สถานีตำรวจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีป้ายชื่อหน่วยงานและป้ายบอกเส้นทางอย่างน้อย 3 ภาษา คือ ไทย มลายูถิ่น และอังกฤษ รวมทั้งภาษาอื่นที่สำคัญ เช่น จีนและอาหรับ อีกด้วย

แต่เมื่อต้นเดือนเมษายน 2559 ข้าราชการท่านหนึ่งเล่าให้ฟังว่า ท่านผู้ใหญ่คนสำคัญบินจากกรุงเทพฯ ไปเข้าประชุมและสั่งการให้มีการปรับป้ายของบางหน่วยงานให้ตัดเหลือแค่ 2 ภาษาเท่านั้น คือไทยและอังกฤษ และไม่ให้ใช้ภาษามลายูถิ่นอีกต่อไป

แม้ไม่บอก ผมก็พอเดาออกถึงสิ่งที่อยู่ใต้สมองของผู้ออกคำสั่งครั้งนี้ ก็คือ ท่านอาจจะต้องการกลืนวัฒนธรรมมลายูให้จางหายจาก 3 จชต. ไปทีละน้อย

แทนที่จะส่งเสริมให้คนไทยมุสลิมเชื้อสายมลายูได้พัฒนาภาษาของตนจนสามารถติดต่อสัมพันธ์ทำมาค้าขายกับคนอินโดนีเซีย 250 ล้าน คนมาเลเซีย 30 ล้าน และคนบรูไน 4.2 แสน ได้อย่างไม่มีข้อจำกัดทางภาษาวัฒนธรรม ท่านกลับทำตรงกันข้าม

ระยะหลัง พ่อไปพูดที่ 3 จชต.เดือนละหลายครั้ง พบว่านักเรียนใน 3 จชต.นิยมเรียนในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามมากถึงร้อยละ 80 ของนักเรียนทั้งระบบ

แต่เดิม รัฐบาลไทยอุดหนุนทรัพยากรมนุษย์พันธุ์ไทยให้เรียนฟรี 15 ปี จนถึง ม.6 โรงเรียนเอกชนพวกนี้แม้จะลำบาก แต่ก็ยังพออยู่ได้ ทั้งที่โรงเรียนเอกชนต้องแข่งกับโรงเรียนรัฐ ซึ่งนักเรียนโรงเรียน สพฐ.ได้เงินอุดหนุนประมาณ 42,549 บาท/ต่อคน/ต่อปี

แต่ร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2559 เสมือนสั่งให้รัฐไม่สนับสนุนนักเรียนชั้น ม.4-ม.6 ทำให้โรงเรียนเอกชนซึ่งเดิมได้รับการอุดหนุนจากรัฐประมาณ 13,000 บาท/ต่อคน/ต่อปี ก็จะไม่ได้รับอีกต่อไป ต้องไปเก็บค่าเล่าเรียนจากนักเรียน แม้แต่โรงเรียนรัฐก็ต้องเสียค่าใช้จ่าย

ที่กระทบที่สุดเลยก็คือ นักเรียนโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามใน 3 จชต. ซึ่งนักเรียนเกือบทั้งหมดเป็นมุสลิม

การบีบสมองเยาวชนให้เล็กลงด้วยการเลิกอุดหนุนนักเรียนชั้น ม.4-ม.6 ทำให้พ่อแม่ที่ยากจนต้อง “หยุด” ส่งลูกไปโรงเรียนเอกชน โดยเฉพาะโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามที่สอนทั้งวิชาสามัญและศาสนา และต้องไปเรียนที่โรงเรียนรัฐบาลที่ไม่ได้สอนศาสนา เพราะโรงเรียนรัฐเก็บค่าเล่าเรียนถูกกว่า ทว่าโรงเรียนรัฐมีเพียงแค่อำเภอละ 1 แห่งเท่านั้น

เรื่องนี้เป็นการบีบนักเรียนไทยมุสลิมให้ไปรับทุนเพื่อเรียนต่อในปากีสถาน อัฟกานิสถาน ซีเรีย อิรัก ซูดาน อียิปต์ จอร์แดน อิหร่าน ซาอุดีอาระเบีย อินโดนีเซีย มาเลเซีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เลบานอน และในสาธารณรัฐอิสลามเล็กๆ ในสหพันธรัฐรัสเซีย เช่น อินกูเชเตีย เชชเนีย ตาตาร์สถาน ฯลฯ

นักเรียนมุสลิมไทยใน 3 จชต.ได้รับความเหลื่อมล้ำทางการศึกษามาตลอด ในพื้นที่ 3 จชต. มีปอเนาะที่จดทะเบียนอยู่ 486 แห่ง มีตาดีกาและมัสยิดรวมประมาณ 5 พันแห่ง คนที่จบปอเนาะจากไทยเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยไทยไม่ได้ แต่ไปเข้าเรียนมหาวิทยาลัยอื่นๆ ที่เก่าแก่ระดับโลกได้ รวมทั้งมหาวิทยาลัยอัลอัซฮาที่อียิปต์ซึ่งเรื่องนี้สร้างความงุนงงสงสัยให้กับนักการศึกษาในซีกโลกอาหรับเป็นอย่างมาก

สำหรับมุสลิม เงื่อนไขที่จะต้องญีฮาดคือการถูกกดขี่ อัลลอฮฺ (ซุบฯ) ทรงตรัสไว้ในอัลกุรอาน มีความหมายว่า จงต่อสู้จนกว่าจะไม่มีการกดขี่ การปฏิบัติหน้าที่ หรือจงใจที่จะกดขี่ข่มเหงเพื่อให้เกิดความเสียหายหรือทำลายอิสลาม ให้ญีฮาดเพื่อให้ได้มาซึ่งความเป็นธรรม ความเสมอภาค และสิทธิของมุสลิมที่ปฏิบัติตนตามวิถีอิสลาม

ในร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2559 นอกจากเรื่องของการศึกษาแล้ว ที่ผมเห็นว่ามีแนวโน้มที่จะก่อให้เกิดความขัดแย้งขั้นสูงถึงขนาดเลือดท่วมแผ่นดินก็คือ ร่าง รธน. มาตรา 31 ซึ่งข้อยกเว้นทั้ง 3 อย่างในมาตรานี้ เป็นเรื่องที่อ่อนไหวมาก หากรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐไม่รอบคอบ หรือมีอคติ หรือไปห้ามการนับถือศาสนา หรือห้ามการปฏิบัติตามคำสอนของศาสนา ก็อาจจะเกิดเรื่องใหญ่ถึงขนาดมีการประกาศญีฮาดเพื่อปกป้องศาสนาเกิดขึ้นได้

อ่านเผินๆ ทุกอย่างดีหมด แต่ถ้าอ่านแบบคนที่รู้ประวัติศาสตร์ว่าทำไมในหลายประเทศจึงเกิดสงครามกลางเมือง เมื่ออ่านแล้วจะหนาวครับ ในอนาคต ผมจะค่อยๆ แกะมารับใช้ผู้อ่านท่านที่เคารพ เพื่อป้องกันความวุ่นวายไม่ให้เกิดขึ้นกับแผ่นดินของเราครับ.

คุณนิติ นวรัตน์
songlok@outlook.co.th
www.nitipoom.media
www.facebook.com/nitipoom.thailand

Leave a comment