ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า
http://www.naewna.com/local/213328
เกษตรเชิงเดี่ยว หรือ ระบบเกษตรกรรมพืชเดี่ยว เป็นรูปแบบการเกษตรที่สังคมเกษตรกรรมของไทยทำกันอย่างแพร่หลาย ซึ่งเป็นวิธีการเพาะปลูกที่จัดการง่าย สะดวกสามารถดูแลเป็นบริเวณกว้าง อีกทั้งการเกษตรรูปแบบนี้เกษตรกรมักจะใช้สารเคมีเป็นตัวควบคุมการผลิตทั้งเร่งการเจริญเติบโต กำจัดศัตรูพืช เพื่อให้ผลผลิตที่ได้ออกมานั้นสวยงามและได้ราคาที่ดี แต่ผลเสียที่สำคัญของเกษตรเชิงเดี่ยวคือ เมื่อปลูกพืชชนิดเดียวกันไปเรื่อยๆ ผลผลิตที่ได้ออกมานั้นล้นตลาด ส่งผลให้ราคาตกต่ำ เกษตรกรบางรายต้องยอมขายในราคาที่ขาดทุนเนื่องจากหากเก็บไว้นานผลผลิตจะเน่าและเสียหาย อีกทั้งการทำเกษตรเชิงเดี่ยวยังส่งผลให้ความหลากหลายทางชีวภาพในระบบนิเวศเสื่อมโทรมลง เช่น พืช สัตว์ แมลง และจุลินทรีย์ต่างๆ
นายสุรเดช เตียวตระกูล อธิบดีกรมพัฒนาที่ดิน กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า กรมพัฒนาที่ดินได้รับมอบนโยบายจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ให้ดำเนินการส่งเสริมเกษตรกรปลูกพืชแบบผสมผสาน ซึ่งจะช่วยให้เกษตรกรมีช่องทางการสร้างรายได้อย่างสม่ำเสมอเป็นประจำตลอดปี และยังสามารถปรับปรุงบำรุงดินให้มีความสมดุลด้านธาตุอาหารในดินได้อีกด้วย โดยเกษตรแบบผสมผสาน ถือเป็นส่วนหนึ่งของระบบการเกษตรแบบยั่งยืน ที่ประกอบด้วย 5 รูปแบบง่ายๆ คือ

สุรเดช เตียวตระกูล
1.วนเกษตร 2.เกษตรผสมผสาน 3.เกษตรทฤษฎีใหม่ 4.เกษตรอินทรีย์ และ 5.เกษตรธรรมชาติ ซึ่งเกษตรแบบผสมผสานนี้ เป็นแนวคิดในการที่หาระบบการผลิตในไร่นา ที่สามารถใช้ประโยชน์จากพื้นที่ทำกินขนาดเล็ก เพื่อลดความเสี่ยงจากการผลิต ลดการพึ่งพิงเงินทุน ปัจจัยการผลิตและอาหารจากภายนอก เศษพืชและมูลสัตว์ ซึ่งเป็นผลพลอยได้จากกิจกรรมการผลิต ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในไร่นาและทำให้ผลผลิตและรายได้เพิ่มขึ้น เป็นระบบการเกษตรที่มีการปลูกพืชและหรือมีการเลี้ยงสัตว์หลายชนิด ในพื้นที่เดียวกัน โดยที่กิจกรรมแต่ละชนิด จะต้องเกื้อกูลประโยชน์ต่อกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นายสุพจน์ เกตแก้ว หมอดินอาสาประจำตำบลสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช กล่าวว่า การทำการเกษตรแต่เดิมนั้นจะปลูกยางพาราเพื่อเอาน้ำยางขายเพียงอย่างเดียว ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงเรื่องของราคารับซื้อยางบ่อยมากอีกทั้งราคาก็ตกต่ำลงเรื่อยๆ เนื่องจากหลายปัจจัย ทั้งการเพิ่มขึ้นของพื้นที่ปลูกยางภายในประเทศ การนำยางไปใช้และเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลง จึงเห็นว่าการทำการเกษตรแบบเชิงเดี่ยวไม่น่าจะสร้างรายได้ที่ยั่งยืนให้กับครอบครัวจึงได้ศึกษาวิธีการทำการเกษตรแบบผสมผสาน โดยได้ทำการขอการสนับสนุนเพื่อทำการปลูกทุเรียน ซึ่งในระหว่างการรอผลผลิตของทุเรียน ได้มีการปลูกผักพื้นบ้านทั่วไปเพื่อสร้างรายได้เสริม อีกทั้งยังมี
การเลี้ยงวัว และการทำปุ๋ยหมักโดยใช้สารเร่ง พด.2 ซึ่งสามารถใช้ได้ทั้งในแปลงผัก และการเลี้ยงด้วง ซึ่งนอกจากน้ำหมักจะช่วยเรื่องลดกลิ่นเหม็นแล้ว ด้วงที่เลี้ยงยังมีการเจริญเติบโตที่ดี

นายสุพจน์กล่าวอีกว่า ผลดีของการทำเกษตรแบบผสมผสานมีหลายอย่าง เช่น ลดความเสี่ยงจากความแปรปรวนของสภาพอากาศ ความเปลี่ยนแปลงของราคา ลดการระบาดของศัตรูพืช สร้างรายได้ได้ตลอดทั้งปีและช่วยรักษาระบบนิเวศในพื้นที่ให้ดียิ่งขึ้น และในปัจจุบันกรมพัฒนาที่ดินได้จัดตั้งให้แปลงเกษตรแห่งนี้เป็นศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยีการพัฒนาที่ดิน เพื่อให้เกษตรกรรายอื่นๆได้เข้ามาเรียนรู้และนำไปขยายผลใช้ในพื้นที่ต่อไป โดยภายในศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยีการพัฒนาที่ดิน มีการทำเกษตรแบบผสมผสาน โดยแบ่งเป็นพืชที่เก็บเกี่ยวระยะยาวและการเก็บเกี่ยวระยะสั้น
ซึ่งสามารถเก็บผลผลิตขายได้ ทั้งรายวัน รายอาทิตย์ อีกทั้งยังมีการทำปศุสัตว์ อาทิ ไก่ โคเนื้อ รวมทั้งเลี้ยงปลา และเลี้ยงด้วงเพื่อนำตัวอ่อนมาขาย นอกจากนี้ยังสามารถนำมูลของสัตว์เหล่านี้มาทำปุ๋ยหมักชีวภาพได้อีกด้วย โดยทางกรมพัฒนาที่ดินได้มีการส่งเสริมให้ความรู้ เกี่ยวกับการปลูกพืชผสมผสาน สอนการทำปุ๋ยหมักและน้ำหมักชีวภาพ อีกทั้งยังมีการมอบหมายให้หมอดินตรวจสภาพดินให้กับเกษตรกร ซึ่งศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยีการพัฒนาที่ดินแห่งนี้ ได้รวมองค์ความรู้ไว้อย่างมากมายที่เกษตรกรเพื่อนบ้านสามารถเข้ามาเรียนรู้ได้
อย่างไรก็ตาม การเกษตรแบบผสมผสานจะประสบผลสำเร็จได้ จะต้องมีการวางรูปแบบและดำเนินการโดยให้ความสำคัญต่อกิจกรรมแต่ละชนิดอย่างเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมทางกายภาพ เศรษฐกิจ สังคม มีการใช้แรงงานเงินทุน ที่ดิน ปัจจัยการผลิต และทรัพยากรธรรมชาติอย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนรู้จักนำวัสดุเหลือใช้จากการผลิตชนิดหนึ่ง มาหมุนเวียนใช้ประโยชน์กับการผลิตอีกชนิดหนึ่ง หรือหลายชนิดภายในไร่นาแบบครบวงจร