ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า
http://www.naewna.com/local/213184
การถึงแก่อนิจกรรมอย่างกะทันหันของนายบรรหาร ศิลปอาชา อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้มากบารมีทางการเมืองไทยคนหนึ่ง แม้ผลกระทบไม่ถึงขนาดพลิกเปลี่ยนโฉมหน้าการเมืองไทย แต่สำหรับพรรคชาติไทยพัฒนา พรรคการเมืองระดับกลางที่ยังมีบทบาทอยู่มาก ถือได้ว่าได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง
และไม่เพียงแต่พรรคชาติไทยพัฒนาเท่านั้น สำหรับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ก็น่าจะมีผลกระเทือนมิใช่น้อยเหมือนกัน
เพราะทราบกันดีในหมู่ข้าราชการกระทรวงเกษตรฯตลอดจนผู้เกี่ยวข้องและสื่อที่ติดตามข่าวกระทรวงนี้อย่างใกล้ชิดว่า นายบรรหารคือผู้มีบารมีเหนือกระทรวงตัวจริง เปรียบดัง“มือที่มองไม่เห็น”ถึงแม้ปัจจุบันจะเป็นยุครัฐบาลทหาร คสช.ที่มีพล.อ.ฉัตรชัยสาลิกัลยะเป็นเจ้ากระทรวงก็ตาม
นายบรรหารได้สร้างบารมีและอิทธิพลที่ฝังรากลึกอยู่ในกระทรวงเกษตรฯมาอย่างยาวนานโดยเฉพาะในช่วงเกือบสิบปีมานี้
ย้อนดูปูมหลังที่เกี่ยวพันนายบรรหารกับกระทรวงเกษตรฯ พบว่า เขาเริ่มเป็นรมว.เกษตรฯปีพ.ศ.2523 ยุครัฐบาลพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ช่วงเป็นเลขาธิการพรรคชาติไทยจากนั้น พรรคชาติไทยก็ยังได้คุมหรือร่วมบริหารกระทรวงเกษตรฯมาตลอด เช่นนายชูชีพ หาญสวัสดิ์ จากพรรคชาติไทย เป็นรมว.เกษตรฯยุครัฐบาลพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ปี 2539 และนายปองพล อดิเรกสาร จากพรรคชาติไทยเป็นรมว.เกษตรฯยุครัฐบาลชวน หลีกภัย 2 ปี 2540 เป็นต้น ส่วนช่วงที่นายบรรหารในฐานะหัวหน้าพรรคชาติไทย เป็นนายกรัฐมนตรีปี 2538-2539 แม้ให้โควตาพรรคกิจสังคมนายมนตรี พงษ์พานิช เป็นรมว.เกษตรฯ แต่นายบรรหารก็ส่งนายชาญชัยปทุมารักษ์ ร่วมเป็นรมช.ด้วย
ช่วงรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ตั้งแต่ปี 2544-2549 ครองเสียงข้างมากเกินครึ่งในสภา แต่ยังดึงเอาพรรคชาติไทยเข้าร่วมรัฐบาล โดยให้โควตาบางกระทรวงและได้ร่วมบริหารกระทรวงเกษตรฯในตำแหน่งรมช.เกษตรฯด้วย เช่น นายนทีขลิบทอง,นายสมพัฒน์ แก้วพิจิตร เป็นต้น
การเข้าคุมอำนาจ สร้างอิทธิพลฝังรากลึกในกระทรวงเกษตรฯอย่างแท้จริง เป็นช่วงตั้งแต่รัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช,รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ต่อเนื่องถึงรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
โดยรัฐบาลพรรคพลังประชาชนของนายสมัคร สุนทรเวช นอมินีของนายทักษิณชินวัตร ที่เข้ามามีอำนาจหลังเลือกตั้งปี 2551 ได้ดึงพรรคชาติไทยร่วมรัฐบาล ซึ่งนายบรรหารก็ส่งมือขวาคนสนิทอย่าง “เฮียตือ” สมศักดิ์ปริศนานันทกุล เป็นตัวแทนมานั่งรมว.เกษตรฯ และเป็นตัวเดินเกมสร้างอิทธิพลอย่างต่อเนื่อง แม้“เฮียตือ”อยู่ในตำแหน่งเพียง 1 ปี พรรคชาติไทยก็ถูกพิพากษาให้“ยุบพรรค” และ กรรมการบริหารพรรค ไม่ว่านายบรรหาร รวมถึงเฮียตือ ต่างถูกตัดสิทธิ์การเมือง 5 ปี แต่พรรคใหม่ที่แปลงชื่อเป็น“ชาติไทยพัฒนา”โดยมีนายบรรหารเป็นหัวหน้าตัวจริงอยู่เบื้องหลัง ก็ยังได้เข้าร่วมรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ต่อเนื่องมาจนถึงรัฐบาลยิ่งลักษณ์ชินวัตร โดยนายบรรหารส่ง“ร่างทรง” อย่างนายธีระ วงศ์สมุทร อดีตอธิบดีกรมชลประทาน จนถึงนายยุคล ลิ้มแหลมทอง อดีตปลัดกระทรวงเกษตรฯ มาเป็นรมว.เกษตรฯ
การบริหารงานโดย “มือที่มองไม่เห็น” ล้วงลูกเข้าไปแทบทุกองคาพยพโดยเฉพาะในการแต่งตั้งโยกย้าย วางตัวบุคคล ซึ่งว่ากันว่าล้วงลึกไปถึงระดับซี 8 และคนเหล่านี้ก็ได้รับการผลักดันเติบโตขึ้นมาเป็นใหญ่เป็นโตทำงานสนองตอบแทน โดยยึดถือภาษิตเหมือนนายตำรวจดังบางคนที่ว่า“มีวันนี้เพราะพี่ให้” แต่นี่เป็น“มีวันนี้เพราะหลงจู๊ให้”
ดังนั้น ในยุครัฐบาลคสช.ที่เปลี่ยนรมว.เกษตรฯมาเป็นคนที่ 2 แล้ว ขนาดคนแรกอย่างนายปีติพงศ์ พึ่งบุญ ณ อยุธยา อดีตปลัดกระทรวงเกษตรฯ เป็นลูกหม้อ แท้ๆยัง“เอาไม่อยู่” สั่งงานข้าราชการระดับสูงในกระทรวงไม่ค่อยได้ เจอกับ“เกียร์ว่าง”รอเวลาการเมืองเปลี่ยน จนงานไม่เดินเท่าที่ควร กระทั่งนายปีติพงศ์ต้องถูก “ปรับออก” เมื่อพล.อ.ฉัตรชัยเข้ามาเป็นแทน จึงเปลี่ยนหัวขบวนข้าราชการโดยเอาอธิบดีกรมป่าไม้ ธีรภัทร ประยูรสิทธิ ย้าย “ข้ามห้วย” มาเป็นปลัดกระทรวงฯ หวังแก้ไขเรื่องนี้ ก็ดูจะยังไม่มีอะไรดีขึ้น
มาบัดนี้ สิ้น“หลงจู๊”แล้ว สำหรับข้าราชการระดับสูงในกระทรวงเกษตรฯที่อยู่ในเครือข่ายเหล่านี้ จะปรับเปลี่ยนท่าทีหรือทำให้การสั่งงานในกระทรวงดีขึ้นหรือไม่ คงต้องติดตามกันต่อไป
สุดท้าย มีข้อความที่ผมได้รับจากในไลน์ว่า “เสียใจกับครอบครัวบรรหาร แต่ดีใจกับกระทรวงเกษตรฯที่จะได้เป็นอิสระเสียที”…จะเป็นเช่นนั้นหรือไม่ ก็ต้องดูกันต่อไป
สาโรช บุญแสง
