ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า
http://www.naewna.com/local/213321
“แตกใบอ่อน” สัปดาห์นี้ ขออนุญาตหลบร้อนมาเขียนเรื่องเบาๆ ว่าด้วยการกักเก็บน้ำผิวดินแบบ “ภูมิปัญญาชาวบ้าน” ซึ่งคุณ “มนตรี บุญจรัส” จากชมรมเกษตรปลอดสารพิษ เอื้อเฟื้อข้อมูลมาให้ เผื่อใครสนใจจะลองไปนำไปปรับใช้ดูก็ไม่เสียหายเพราะถูกทั้งเงิน ถูกทั้งต้นทุน แถมมีแหล่งน้ำสำรองไว้ใช้ได้เองอีกต่างหาก
คุณมนตรี แกบอกว่า ถ้าลองนึกย้อนกลับไปในอดีต ยุคที่ปู่ย่า ตายายของเราทำอาชีพเกษตรกรรมในรูปแบบที่ยังไม่มีเครื่องไม้เครื่องมือที่ทันสมัยเหมือนกับปัจจุบันนี้ ไม่มีปุ๋ยเคมี ไม่มียาฆ่าแมลง ไม่มียาฆ่าหญ้า ไม่มีรถแทรกเตอร์ แต่ท่านก็ทำของท่านมาได้ สามารถเลี้ยงบุตรหลานให้เติบโตมาเป็นเจ้าคนนายคน สืบสานวัฒนธรรมการเกษตรไทยโดยที่ยังมีความสุขมากกว่าผู้คนหรือสังคมปัจจุบันด้วยซ้ำ
การทำการเกษตรในยุคเก่านั้น ส่วนใหญ่ก็จะมีเพียงจอบ เสียม พลั่วเป็นหลัก ไม่มีเครื่องจักรกลขนาดใหญ่ น้ำหนักมากมากดทับดิน ดินในอดีตจึงไม่แน่นแข็ง โดยเฉพาะดินชั้นล่างที่ลึกลงไปประมาณ 30-50 เซนติเมตร จากการไถพรวนของรถไถ รถแทรกเตอร์ทำให้ดินร่วนซุยแต่เฉพาะด้านบน แต่ดินชั้นล่างถูกน้ำหนักของรถกดทับจนแน่นเป็นชั้นดาน ก่อให้เกิดการระบายถ่ายเทน้ำไม่ดีจนสะสมมากขึ้นเรื่อยๆ
รวมถึงการไม่ใช้ยาฆ่าหญ้าจึงทำให้ไม่มีสารพิษที่สะสมอยู่ในดินคอยควบคุมการเจริญเติบโตของพืช เพราะอย่าลืมว่ายาฆ่าหญ้าที่คุมหญ้า ก็สามารถส่งผลกระทบกับพืชหลักได้ด้วยเช่นเดียวกัน เพราะหญ้าก็จัดว่าเป็นพืชชนิดหนึ่งเหมือนกัน ถึงแม้ว่าจะส่งผลกระทบได้ไม่มากในระยะแรก แต่ในระยะยาวการสะสมที่มากขึ้นก็สามารถทำให้พืชอานชะงักงันได้เช่นเดียวกัน
ดังนั้นการย้อนกลับมาทำการเกษตรแบบเก่าตามภูมิปัญญาชาวบ้าน ก็น่าจะดีไม่น้อยกับสถานการณ์ในปัจจุบัน โดยเฉพาะผู้ที่มีโซนพอเพียงของตนเองแค่ 1 ถึง 2 ไร่ ก็เพียงพอ ไม่ว่าจะมีพื้นที่มากมายเป็น 100 ไร่ 1,000 ไร่ ก็ไม่สำคัญ ขอเพียงแบ่งมาทำโซนพอพียงแก่ตนเองสัก 1 ไร่ เพื่อให้ความสุขแก่ตนเอง โดยอาศัยหลักเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว คือ 30% สำหรับสระน้ำ 30% สำหรับนาข้าว 30% สำหรับป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง และ 10% สำหรับที่อยู่อาศัย แล้วลองใช้ทรัพยากรทั้งหมดโดยไม่ต้องมีเงินเข้าเกี่ยวข้อง ลองดูว่าจะมีความสุขอยู่หรือไม่ หิวก็กินข้าว กินไข่ กินปลา กินผัก ผลไม้ที่ปลูกเอาไว้
สำหรับการแก้ไขปัญหาการกักเก็บน้ำผิวดินแบบภูมิปัญญาชาวบ้าน โดยให้เริ่มทำจากแปลงเล็กๆ ด้วยการกำจัดหญ้าแบบไม่ใช้ยาคุมและยาฆ่าหญ้า แต่ใช้วิธีการตัดหรือดาย ตัดเพียงครึ่งเดียวไม่ให้รกเกะกะจนทำงานไม่ได้ แล้วนำเศษซากหญ้านั้นไปสุมรวมกองที่โคนต้น เพื่อลดการสูญเสียน้ำจากผิวดิน ที่อาจจะถูกสายลม แสงแดด พัดระเหยไป และอีกวิธีหนึ่งการใช้จอบ เสียม พรวนดินด้านบนเพื่อตัดขาดท่อแคปปิลารี (ไส้ตะเกียง) ที่เป็นตัวเอาความชื้นชั้นใต้ดินขึ้นมาสู่อากาศเสียหมด ถ้าเราพรวนดินเพื่อทำลายไส้ตะเกียงของดิน ผิวดินที่ติดกับท่อแคปปิลารีที่ถูกตัด จะเป็นตัวกักเก็บรับความชื้นจากไส้ตะเกียงของน้ำที่ระเหยขึ้นมาบนพื้นผิวที่พรวนดิน ทำให้มีน้ำผิวดินในแบบภูมิปัญญาชาวบ้าน
การเลี้ยงหญ้าให้เขียวรำไรทั้งแปลง การใช้เศษซากหญ้า อินทรียวัตถุ ตอซังฟางข้าวคลุมผิวดิน การใช้จอบพรวนดินทำลายตัดขาดท่อแคปปิลารีไม่ให้ขึ้นมาสู่ผิวดินด้านบน ให้ดินที่พรวนเป็นตัวดักกดทับน้ำที่ปลายท่อแคปปิลารีด้านล่าง ทั้งหมดนี้ก็เพื่อการกักเก็บรักษาความชื้นในดินให้คงอยู่กับต้นไม้ให้ได้นานๆ ด้วยสภาพภูมิอากาศที่แห้งแล้งและหนาวเย็น อากาศจะเป็นตัวพัดพาความชื้นในดินไปจนหมด แต่หากใช้วิธีดังกล่าวนี้ ก็จะเป็นการประหยัดต้นทุนเรื่องน้ำให้แก่พืช และช่วยประคองให้ดินกักเก็บน้ำจนกว่าฝนจะตกได้ในแบบภูมิปัญญาชาวบ้าน
แถมท้ายให้อีกนิดนะครับ สำหรับพ่อแม่พี่น้องเกษตรกรที่มีข้อสงสัย หรือต้องการคำปรึกษาเพิ่มเติม ลองโทร.ไปคุยกับชมรมเกษตรปลอดสารพิษได้เองโดยตรงที่เบอร์ 0-2986-1680-2 นะครับ
มะลิลา
