อเมริกา อเมริกาโกย และไทย (3)

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/624800

โดย คุณนิติ นวรัตน์ 25 พ.ค. 2559 05:01

 

ธันวาคม 1996-พฤศจิกายน 1997 พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ บริหารประเทศและรัฐบาลนี้ได้ 1.ปิดสถาบันการเงิน 16+42 = 58 แห่ง 2.เปลี่ยนแปลงค่าเงินบาทจากระบบตะกร้าเงินมาเป็นระบบลอยตัวภายใต้การจัดการ และ 3.รับการช่วยเหลือในโครงการเงินกู้ไอเอ็มเอฟ 17,200 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

ยุครัฐบาลพลเอกชวลิต อเมริกาไม่ช่วยเราเลย

กลางเดือนพฤศจิกายน 1997 นายชวน หลีกภัย ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี อเมริกาก็เปลี่ยนไปทันที ทั้งนายคลินตัน ประธานาธิบดี นางอัลไบรท์ ผู้ช่วย รมต.ต่างประเทศ รวมทั้ง รมว.กลาโหม รมว.คลัง รมช.คลัง ประชุมกันเรื่องที่จะช่วยไทยหลายครั้ง

20 มกราคม 1998 นายธารินทร์ นิมมานเหมินทร์ รมว.คลัง บินไปอเมริกา พอถึงเดือนมีนาคม 1998 นายชวนก็ไปอเมริกา ถึงตอนนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับอเมริกาก็กลับมาแน่นแฟ้นด้วยบทบาทของพระเอกขี่ม้าขาวที่จะเข้ามาช่วยเศรษฐกิจไทย

อเมริกาช่วยไทยด้วยการหนุน stand-by credit ของไอเอ็มเอฟ 4 พันล้านเหรียญ หนุนเงินกู้จากธนาคารโลก 1.5 พันล้าน หนุนเงินกู้จากธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย 1.2 พันล้าน ธนาคารเพื่อการนำเข้าและส่งออกสหรัฐฯ ประกาศเจตนารมณ์ที่จะเพิ่มเงินกู้เพื่อการค้าระยะสั้น 1 พันล้าน หนุนการศึกษาความเป็นไปได้ในการแปรรูปการรถไฟแห่งประเทศไทย อเมริกาให้ทุนนักเรียนไทย 165 คนไปเรียนต่อ ให้เราผ่อนเงินที่ซื้อเครื่องบิน F/A 18 จำนวน 8 เครื่อง ฯลฯ

ยุคนี้นี่แหละครับ ที่เราโดนดูดเลือดจนแทบหมดตัว เพราะรัฐบาลไปทำหนังสือแสดงเจตจำนง หรือ Letter of Intent-LOI ไว้อย่างเสียเปรียบมาก มีเงื่อนไขอะไรบานเบอะเยอะแยะที่ทำให้เราเสียอำนาจอธิปไตยในการกำหนดนโยบายเศรษฐกิจ

เมื่อเราต้องเข้าโครงการกู้เงินฉุกเฉิน ก็มีการสั่งให้ตั้งกำแพงภาษีนำเข้าให้สูง ที่เถียงกันมากก็คือเรื่องภาษีน้ำมันลิตรละ 1 บาท เราถูกสั่งให้ตั้ง Financial Restructuring Authority หรือองค์กรปฏิรูประบบสถาบันการเงิน (ปรส.) สั่งให้เราตั้ง Asset Management Corporation ที่เราเรียกกันว่า บริษัทจัดการทรัพย์สิน หรือ บบส. ฯลฯ

รัฐบาลไทยสมัยนั้นยอมให้ต่างชาติถือหุ้นธุรกิจในไทยได้ 100% ให้สถาบันการเงินมีกฎเกณฑ์ที่เคร่งครัดแยกเงินกู้ที่เป็นหนี้ที่ไม่ก่อรายได้ (NPL) ยอมรับประกันเต็มที่ต่อผู้ฝากเงินและผู้ให้กู้ ยอมแก้กฎหมายล้มละลายเพื่อให้ผู้กู้เก็บเงินเพิ่มได้เร็วขึ้น ฯลฯ

เราโดนสั่งให้ขึ้นค่าบริการและขายสาธารณูปโภค ให้ปฏิรูปสถาบันการเงินโดยการควบขายกิจการธนาคารเพื่อใช้หนี้เงินกู้ต่างประเทศที่รัฐบาลกู้มา รัฐบาลไทยเอาร่างกฎหมาย 11 ฉบับ ไปผ่านที่ประชุม ครม. และรัฐสภาตามเงื่อนไขใน policy conditionality ของไอเอ็มเอฟ กฎหมายพวกนี้นี่แหละครับที่เราเรียกว่ากฎหมายขายชาติ

ตอนนั้น คนไทยใจรักชาติของแท้ต่อสู้กับรัฐบาลไทย ขอร้องผู้คนในรัฐบาลว่า กรุณาอย่าขายทุกอย่างให้ต่างชาติ อย่าขายรัฐวิสาหกิจ โปรดช่วยปกป้องอาชีพและธุรกิจให้คนไทยในอนาคต อย่าอุ้มแต่คนรวยและทิ้งคนจน

พ.ศ.2540 อเมริกาเข้ายุ่งกับไทยอีกครั้ง และครั้งนี้โกยเงินไปเยอะ ทรัพย์สินของคนไทยราคา 100 บาท มีคนเอาไปประเคนให้ฝรั่งอเมริกันในราคา 10 บาท ฝรั่งก็มาถามคนไทยเจ้าของเดิมว่า ไอจะขายสมบัติเดิมของยูให้ยูในราคา 50 บาทเอาไหม?

เจ้าของคนไทยไม่มีทางเลือก ก็ต้องดิ้นรนไปหาเงินมาซื้อในราคา 50 บาท ฝรั่งอเมริกันได้กำไรไปทันที 40 บาท โดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลย

คนไทยทั้งประเทศเหมือนตกอยู่ในนรกขุมใหญ่

กระทั่งมีรัฐบาลใหม่ใน พ.ศ.2544 ซึ่งมีฝีมือ ในการบริหารของรัฐบาลใหม่ทำให้เราสามารถใช้หนี้ไอเอ็มเอฟหมด จากนั้น กระแสต่อต้านอเมริกาก็เบาลงไป

พ.ศ.2557 อเมริกาเล่นงานไทยอีกครั้งด้วยการจัดเราอยู่ในประเทศเทียร์ 3 ตามกฎหมายต่อต้านการค้ามนุษย์ พ.ศ.2558 ก็ยังคาเราไว้ที่เทียร์ 3

พ.ศ.2559 ความสัมพันธ์ไทย-อเมริกา แย่ลงเรื่อยๆ

จากการที่ตามพ่อไปพูดทั่วประเทศ ผมมีความเชื่อโดยส่วนตัวว่า ภายในปีสองปีนี้ เศรษฐกิจไทยจะมีปัญหาเหมือนเมื่อ พ.ศ.2540

แต่จะต่างตรงที่ คนที่จะล้มคราวนี้

จะเป็นชั้นกลางและชั้นล่าง

ถึงวันนั้น อเมริกาจะเข้ามาอีกครั้ง

เศรษฐกิจล่มครั้งหน้า อย่าพึ่งรัสเซียและจีน

รัสเซียยังเอาตัวเองไม่รอด ช่วยใครไม่ได้

จีนก็จะฮุบธุรกิจเราจนหมดทั้งประเทศ.

คุณนิติ นวรัตน์
songlok@outlook.co.th
www.nitipoom.media
www.facebook.com/nitipoom.thailand

Leave a comment