ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า
http://www.naewna.com/local/217332
จากปัญหาภัยแล้งในช่วงที่ผ่านมาจะเห็นถึงความรุนแรงอย่างชัดเจน แม้กระทั่งเกษตรกรที่อยู่ในพื้นที่เขตชลประทานเองยังไม่มีน้ำให้ทำการปลูกพืชที่ใช้น้ำมากอย่างข้าวได้เลยดังนั้นไม่ต้องพูดถึงเกษตรกรที่อยู่นอกเขตชลประทาน ที่ปกติต้องอาศัยแต่น้ำฝนในการทำการเกษตรอยู่แล้ว เมื่อฝนทิ้งช่วงก็ไม่มีน้ำให้ทำการเกษตรอย่างแน่นอน ถึงแม้ว่าขณะนี้จะเข้าสู่ฤดูฝนอย่างเป็นทางการและกรมอุตุนิยมวิทยามีการคาดการณ์ว่าปริมาณน้ำฝนจะสูงกว่าปีที่ผ่านมาจากปรากฏการณ์ลานีญา ทำให้เกษตรกรมีความหวังในการเริ่มต้นฤดูกาลเพาะปลูกสักที
อย่างไรก็ตาม ปัญหาภัยแล้งขาดแคลนน้ำเพื่อการเกษตรก็ยังต้องวนเวียนกลับมาเป็นวัฏจักรเช่นเดิม ฉะนั้น เกษตรกรที่สามารถปรับระบบการผลิตให้สอดคล้องกับภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาได้ ก็จะช่วยลดทั้งความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น อีกทั้งเพิ่มโอกาสในการแข่งขันได้ดีขึ้น คุณพลศักดิ์ สืบศรี เกษตรกรอำเภอบ้านไร่ จังหวัดอุทัยธานี เป็นคนหนึ่งที่มีการปรับระบบการผลิตจากพืชไร่ใช้น้ำมากหันมาปลูกพืชตระกูลถั่วใช้น้ำน้อยทดแทน
คุณพลศักดิ์เล่าว่า แต่เดิมตนก็ทำการเกษตรด้วยการปลูกพืชไร่ ได้แก่ มันสำปะหลัง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ รวมพื้นที่ปลูกกว่า 400 ไร่ ซึ่งพื้นที่ของตนอยู่นอกเขตชลประทานต้องอาศัยน้ำฝนอย่างเดียว ประกอบกับพืชไร่เหล่านี้มีอายุเก็บเกี่ยวค่อนข้างนาน ถ้าเจอภาวะภัยแล้งหรือฝนทิ้งช่วงก็ส่งผลกระทบต่อผลผลิตไม่ดีเท่าที่ควร อีกทั้งเรื่องราคาจำหน่ายก็ค่อนข้างผันผวน โดยเฉพาะช่วง 4 ปีที่ผ่านมานี้ ราคามันสำปะหลังตกต่ำรายได้ไม่พอกับต้นทุนที่ลงไปทำให้ขาดทุนไปเป็นหลักล้านบาท จึงเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการหาพืชชนิดอื่นมาทดแทน โดยคิดว่าต้องพืชที่มีอายุสั้น ให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าและสามารถทนแล้งได้ ซึ่งได้รับคำแนะนำจากศูนย์วิจัยพืชไร่ชัยนาท กรมวิชาการเกษตร ให้ปลูกพืชตระกูลถั่ว คือ ถั่วเขียว เพราะตลาดยังมีความต้องการเมล็ดพันธุ์ถั่วเขียวจำนวนมาก

ไม่เพียงได้รับการถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีการผลิตเมล็ดพันธุ์ถั่วเขียวตามหลักวิชาการ ตนยังมีโอกาสเข้าร่วมเป็นเครือข่ายเกษตรกรผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์ถั่วเขียวของศูนย์วิจัยพืชไร่ชัยนาท ซึ่งทางศูนย์ฯ สนับสนุนเมล็ดพันธุ์ถั่วเขียวให้ไปปลูกและรับซื้อคืนในราคาประมาณ 30-40 บาทต่อกก. ข้อดีของเมล็ดพันธุ์ที่มาจากศูนย์ฯ คือเมล็ดพันธุ์มีคุณภาพ อัตราการงอกสูงถึง 90% ผลผลิตที่ได้ออกมาสม่ำเสมอทั่วทั้งแปลง แตกต่างจากเมล็ดพันธุ์จากร้านค้าทั่วไปที่ไม่มีการรับรองคุณภาพ เมื่อปลูกจะทำให้ต้นถั่วมีอัตราการเจริญเติบโตที่แตกต่างกัน บางต้นสูงคืบเดียวบางต้นสูงเป็นศอก ทำให้ผลผลิตต่อไร่ต่ำ เกษตรกรจำเป็นต้องไถทิ้งและปลูกซ่อมใหม่เป็นการเพิ่มต้นทุนการผลิตเข้าไปอีก นอกจากนี้ การปลูกตามช่วงเวลาที่เหมาะสมตามคำแนะนำคือช่วงต้นฝนหรือปลายฝนดีที่สุด เพราะเป็นช่วงที่พบการระบาดของโรคแมลงน้อยกว่าช่วงฤดูฝน
ทั้งนี้ ตนจะปลูกถั่วเขียวผิวมันพันธุ์ชัยนาท 72 และพันธุ์ชัยนาท 84 ซึ่งเป็นพันธุ์ที่ให้ผลผลิตต่อไร่สูง ฝักดกเมล็ดใหญ่ พื้นที่ 400 กว่าไร่ต้องใช้เมล็ดพันธุ์ประมาณ 2 ตันโดยปลูกในช่วงปลายเดือนเมษายนและเก็บเกี่ยวเดือนมิถุนายน ปีที่แล้วได้ผลผลิตเฉลี่ย 150 กก.ต่อไร่ คิดเป็นผลผลิตรวมประมาณ 60-70 ตัน ซึ่งเมล็ดพันธุ์ส่วนหนึ่งต้องคืนให้กับทางศูนย์ฯ ส่วนที่เหลือก็จำหน่ายให้กับศูนย์ฯ หรือเกษตรกรรายอื่น แต่ส่วนใหญ่ทางศูนย์ฯ จะรับซื้อเกือบจะทั้งหมด เพราะต้องนำไปขยายผลให้กับเกษตรกรรายอื่นที่มีความต้องการอย่างต่อเนื่อง

หลังจากเก็บเกี่ยวเมล็ดพันธุ์ถั่วเขียวเรียบร้อยแล้ว จะไถกลบเพื่อให้เศษซากต้นถั่วกลายเป็นพืชปุ๋ยสด ผลพลอยได้คือดินดีขึ้น เมื่อปลูกพืชหลักอย่างข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ จะมีต้นทุนการผลิตค่าปุ๋ยเคมีลดลง จากปกติจะใช้ปุ๋ยเคมีประมาณ 3 ถุงต่อไร่ ถุงละ 800 บาท พอดินฟื้นตัวมีอินทรียวัตถุเพิ่มขึ้นก็ปรับลดปริมาณการใช้ปุ๋ยเคมีลงมาเรื่อย มาถึงตอนนี้แทบจะไม่ได้ใช้เลย หันมาใช้ปุ๋ยชีวภาพที่มีราคาเพียงถุงละ 200-300 บาท ทำให้ลดต้นทุนการผลิตลดลงเกินครึ่ง นอกจากนี้ สิ่งที่ได้ตามมาคือผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่มีการเจริญเติบโตดีขึ้น ฝักใหญ่สมบูรณ์ ให้ผลผลิตต่อไร่สูงขึ้นเฉลี่ย 1 ตันเศษ
“การปลูกถั่วเขียวนับเป็นพืชเสริมที่มีศักยภาพสูง ทั้งเป็นพืชระยะสั้นใช้น้ำน้อย ต้นทุนการผลิตค่อนข้างต่ำอยู่ที่ 2,000-2,500 บาทต่อไร่ ขณะที่ผลตอบแทนสูงกว่าพืชเศรษฐกิจบางชนิด ที่สำคัญคือตลาดยังมีความต้องการโดยเฉพาะเมล็ดพันธุ์ที่มีคุณภาพ ฉะนั้นในภาวะโลกร้อนขึ้น น้ำเพื่อการเกษตรมีจำกัด นอกจากที่จะรอคอยธรรมชาติให้น้ำฝนช่วย เกษตรกรต้องช่วยเหลือตนเองด้วยการปรับเปลี่ยนการปลูกพืชจากพืชอายุยาวที่มีความเสี่ยงค่อนข้างมาก มาปลูกพืชอายุสั้นใช้น้ำน้อย ซึ่งจะช่วยทั้งประหยัดน้ำและสามารถสร้างรายได้ที่ดีขึ้นในคราวเดียว”