เจาะจุดแข็ง-จุดอ่อน ‘คลินตัน-ทรัมป์’ ว่าที่ผู้ท้าชิงเก้าอี้ ปธน.สหรัฐฯ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 10 มิ.ย. 2559 06:05

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/635747

 

มาถึงโค้งสุดท้ายของการเลือกตั้งขั้นต้นเพื่อคัดเลือกผู้แทนพรรคเดโมแครตและรีพับลิกัน ไปลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในเดือน พ.ค. 2016 นี้แล้ว โดยเหลือเพียงการประชุมใหญ่ของแต่ละพรรค เพื่อยืนยันตัวผู้แทนอย่างเป็นทางการที่จะเกิดขึ้นในเดือน ก.ค.เท่านั้น

อย่างไรก็ตาม เกือบจะเป็นที่แน่นอนแล้วว่า ผู้แทนของฝ่ายเดโมแครตคือ ฮิลลารี คลินตัน อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ส่วนฝ่ายรีพับลิกันคือ โดนัลด์ ทรัมป์ มหาเศรษฐีฝีปากกล้าจากนครนิวยอร์ก โดยพวกเขามีจุดแข็งที่จะใช้และจุดอ่อนที่จะถูกเล่นงานระหว่างการชิงตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ แตกต่างกันไป ซึ่งนาย จูเลียน เซลิเซอร์ ศาสตราจารย์ด้านประวัติศาสตร์และกิจการสาธารณะ จากมหาวิทยาลัย พรินซ์ตัน ได้วิเคราะห์เอาไว้ดังนี้


ฮิลลารี คลินตัน ทักทายผู้สนับสนุน (ภาพ: AP)

จุดแข็งของ ฮิลลารี คลินตัน

1. ความเป็นนักสู้ นางคลินตันได้พิสูจน์ตัวเองอีกครั้งแล้วว่า เธอเป็นนักต่อสู้ทางการเมืองที่น่าเกรงขาม เธอไม่ยอมแพ้ง่ายๆ และตอบโต้ทุกอุปสรรคอย่างหนักหน่วง ทั้งระหว่างที่การเผชิญหน้าหลายครั้งหลายคราระหว่างเธอกับ เบอร์นี แซนเดอร์ส ส.ว.รัฐเวอร์มอนต์ คู่แข่งชิงตำแหน่งตัวแทนพรรคเดโมแครตของเธอ และระหว่างการชี้แจงต่อสภาครองเกรสกรณีทูตสหรัฐฯ ถูกสังหารในเมืองเบงการซี ของลิเบีย เธอได้พิสูจน์ว่า เธอสามารถทำผลงานได้ดีอย่างน่าประหลาดใจ แม้ต้องเผชิญหน้ากับนักการเมืองขั้วตรงข้าม ซึ่งตั้งคำถามในทุกคำพูดที่เธอเอ่ยออกมา

นอกเหนือจากเรื่องการโต้คารม นางคลินตันยังพิสูจน์ตัวเองว่า เธอเป็นเจ้าหน้าที่รัฐผู้สามารถรับการโจมตีที่รุนแรงหลายครั้ง แต่ก็ยังคงสามารถยืนหยัดและดึงดูดคะแนนเสียงจากประชาชนได้ เมื่อสัปดาห์ก่อน เธอยังออกมาเตือนถึงอันตรายที่ประเทศและโลกจะต้องเผชิญ หากโดนัลด์ ทรัมป์ มีอำนาจสั่งการอาวุธนิวเคลียร์ ทำให้ทรัมป์ออกมาตอบโต้อย่างโกรธเคือง แต่คำพูดของเขากลับเหมือนเป็นสิ่งยืนยันคำเตือนของนางคลินตันเท่านั้น

2. การเป็นผู้สร้างความร่วมมือ ผลการลงคะแนนเสียงในการเลือกตั้งขั้นต้นแบบไพรมารีในรัฐต่างๆ ในช่วงที่ผ่านมา คลินตันแสดงให้เห็นว่า เธอมีความสามารถในการสร้างคณะผู้เลือกตั้งที่รวมเป็นหนึ่งเดียวในหลายพื้นที่ของประเทศ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญอย่างมากในการเลือกตั้งในรัฐที่คะแนนเสียงของประชาชนไม่เทให้ฝ่ายใดอย่างชัดเจน เรื่องนี้ยังเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้คลินตันชนะนายแซนเดอร์ส ผู้ได้รับการสนับสนุนเพียงจาก คนหนุ่มสาวและผู้ลงคะแนนอิสระ ซึ่งเป็นฐานเสียงหลักกลุ่มเดียวของเขา

ขณะเดียวกัน ท่าทีของนางคลินตันในการเป็นผู้นำการเมืองแบบยึดแนวทางของพรรค ก็เป็นจุดดึงดูดสำคัญต่อผู้โหวตจากหลายกลุ่ม และเธอยังสร้างฐานเสียงที่แข็งแกร่งมากมายเช่นในหมู่ผู้โหวตชาว แอฟริกัน-อเมริกัน

3. เธอเป็นนักต่อสู้เพื่อความเสมอภาค คลินตันแสดงให้เห็นว่า เธอสามารถพูดถึงและปกป้องนโยบายเรื่องความเสมอภาคภายในประเทศได้อย่างตรงไปตรงมา แม้เธอจะถูกวิพากษ์วิจารณ์โดยกลุ่มหัวก้าวหน้าอยู่บ่อยครั้งว่า เธออยู่ในจุดศูนย์กลางความสนใจมากเกินไป

ตลอดการเลือกตั้งขั้นต้นที่ผ่านมา เธอได้เห็นและได้ยินเรื่องการเพิ่มขึ้นของความไม่สงบ ที่เกิดขึ้นในเขตเลือกตั้งฝ่ายเดโมแครต รวมทั้งเสียงเรียกร้องให้มีการออกนโยบายที่มีการปฏิรูปมากขึ้น ซึ่งเธอยินดี และสามารถที่จะปรับตัว ด้วยการเป็นกระบอกเสียงให้กับปัญหาต่างๆมากขึ้นเช่น เรื่องค่าแรงขั้นต่ำในประเทศ และการเพิ่มความเข้มแข็งแก่ระบบสาธารณสุข

4. เธออาจกลายเป็นประธานาธิบดีหญิงคนแรกของสหรัฐฯ เรื่องนี้ทำให้การลงรับสมัครเลือกตั้งของนางคลินตันกลายเป็นเหตุการณ์ครั้งประวัติศาสตร์อย่างแท้จริง แม้จะถูกปรามาศว่าเป็นการใช้ประโยชน์จากเรื่องเพศ แต่ความเป็นไปได้ที่ชาวอเมริกันจะเลือกสตรีเป็นประธานาธิบดี ก็นับเป็นหนึ่งในหลักชัยที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองของสหรัฐฯ แล้ว การเลือกตั้งครั้งนี้จะกลายเป็นก้าวย่างที่สำคัญของประเทศซึ่งผู้หญิง ไม่แม้แต่จะมีสิทธิ์ลงคะแนนเสียงจนถึงปี ค.ศ. 1920 และยังคงหลงเหลือความไม่เท่าเทียมและการกีดกันทางเพศอยู่ในส่วนลึกของวัฒนธรรม

5. มีสายสัมพันธ์กับศูนย์กลางอำนาจของพรรคเดโมแครต นางคลินตันพัฒนาสายสัมพันธ์ หรือ คอนเนคชั่น อันแข็งแกร่งกับเจ้าหน้าที่และผู้สมัครเลือกตั้งของพรรคเดโมแครต ซึ่งมีหลายคนที่เธอให้การสนับสนุนในการชิงตำแหน่ง ส.ว.และ ส.ส. ซึ่งเรื่องนี้มีความสำคัญมาก และจะกลายเป็นเครื่องมือสำหรับรับประกันความสัมพันธ์กับสภาคองเกรสที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ หากคลินตันชนะเลือกตั้งประธานาธิบดี


(ภาพ: REUTERS)

จุดอ่อนของ ฮิลลารี คลินตัน

1. ความน่าเชื่อถือ ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดสำหรับนางคลินตันในตอนนี้คือ เรื่องความน่าเชื่อถือ ซึ่งบางส่วนเป็นผลมาจาก บิล คลินตัน สามีของเธอและอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งฝ่ายเดโมแครตบางคนรู้สึกว่าพวกเขาโดนหักหลังจากประเด็นต่างๆ ในช่วงปี 1990 เช่นการปฏิรูปสวัสดิการและความตกลงการค้าเสรีอเมริกาเหนือ (NAFTA) นอกจากนี้ นางคลินตันยังทำให้ปัญหาแย่ลงไปอีก ด้วยข่าวฉาวที่เธอใช้ใช้อีเมลส่วนตัวในการส่งข้อมูลทางราชการ สมัยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ และข้อมูลจำนวนหนึ่งเป็นข้อมูลลับสุดยอดด้วย

2. การปกปิดข้อมูล นางคลินตันแสดงให้เห็นนิสัยที่เลือกที่จะปิดบังข้อมูล แทนที่จะเสี่ยงเปิดเผยออกมาอย่างชัดเจน ซึ่งเห็นได้จากวิธีการที่เธอรับมือกับข่าวฉาวเรื่องการใช้อีเมล ซึ่งเธอได้ออกมาให้คำอธิบายที่แตกต่างกันมากมาย เธอยังผิดสัญญาไม่ยอมเปิดเผยว่า เธอพูดอะไรในงานประชุมผู้ก่อสร้างและผู้บุกเบิกที่จัดโดยธนาคาร โกลด์แมน แซค เมื่อปี 2013 ซึ่งคลินตันได้รับค่าจ้างให้ไปพูดถึง 225,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ด้วย (ราว 7.9 ล้านบาท)

การปกปิดข้อเท็จจริงของนางคลินตัน ทำให้เกิดข้อถกเถียงและคำถามตามมามากมาย ยิ่งว่าถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดเสียอีก ยิ่งกว่านั้น การที่เจ้าหน้าที่เอฟบีไอ เข้ามาสืบสวนในคดีการใช้อีเมลของนางคลินตัน อาจส่งผลกระทบในด้านลบต่อชื่อเสียงของเธอ ต่อให้การสืบสวนจบลงโดยไม่มีการตั้งข้อหาก็ตาม

3. เรื่องวิสัยทัศน์ จุดอ่อนสำคัญอีกข้อของนางคลินตัน คือปัญหาในการแสดงวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนสำหรับการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ซึ่งอดีตประธานาธิบดี จอร์จ บุช นิยามไว้ว่า ‘vision thing’ ซึ่งไม่ต้องสงสัยเลยว่า วิสัยทัศน์ดังกล่าว มักเป็นคำกล่าวเกินจริง บางครั้งผู้สมัครก็สามารถทำผลงานได้ดีโดยไม่ต้องมีถ้อยแถลงที่สวยหรูเกี่ยวกับภารกิจของพวกเขา

แต่ผู้ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ หลายคน สร้างแรงบันดาลให้แก่ผู้คนด้วยวิสัยทัศน์ของพวกเขา ซึ่งตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดก็คือ ประธานาธิบดี บารัค โอบามา ซึ่งสัญญาจะเปลี่ยนแปลงการเมืองและนโยบายของอดีตประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู.บุช ตั้งแต่รากฐาน และล่าสุด โดนัลด์ ทรัมป์ ก็ได้ประโยชน์จากสโลแกน ‘ทำให้อเมริกายิ่งใหญ่อีกครั้ง’ ในขณะที่นางคลินตันกำลังประสบปัญหาในการหาเหตุผลในการลงสมัครของเธอ

4. ไม่ใช่นักหาเสียงโดยธรรมชาติ นางคลินตันประสบปัญหาในการสร้างสิ่งกระตุ้นความสนใจให้เทียบเท่ากับคู่แข่งอย่างนายแซนเดอร์ส หรือโดนัลด์ ทรัมป์ ขณะที่ตัวเธอยอมรับเองด้วยว่า การหาเสียงไม่ใช่จุดแข็งของเธอ ตรงข้ามกับ บิล สามีของเธอ


(ภาพ: REUTERS)

จุดแข็งของ โดนัลด์ ทรัมป์

1. เป็นเจ้าแห่งสื่อ ถ้าจะมีพลังอะไรที่อยู่เหนือสิ่งอื่นๆ ก็ต้องเป็นพลังของสื่อ โดนัลด์ ทรัมป์ แม้จะเพิ่งต่อว่านักข่าวในการแถลงเมื่อไม่นานมานี้ แต่เขาก็พิสูจน์แล้วว่า เขารู้หลักการทำให้ของสื่อและเครือข่ายสังคมออนไลน์ยุคใหม่ และมีขีดความสามารถในการชี้นำบทสนทนาไปในทิศทางที่เขาต้องการ เขามีความสามารถที่ไม่อาจอธิบายได้ ในการสร้างวาทกรรมซึ่งจะทำให้เกิดการถกเถียงไปหลายวัน และชื่นชอบการโต้แย้งที่จะทำให้เขากลายเป็นจุดสนใจ

2. ใช้การกลับลำให้เป็นประโยชน์ ทรัมป์เรียนรู้ที่จะใช้ประโยชน์จากการเปลี่ยนท่าที ในอดีต นักการเมืองอย่าง จอห์น แคร์รี เคยได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการเลือกผิดฝั่ง แต่ทรัมป์กลับรอดมาได้อยู่บ่อยครั้ง เขาพูดเรื่องขัดแย้งมากมาย แต่เขาไม่จนมุมเมื่อถูกถามเกี่ยวกับความไม่สอดคล้องเหล่านี้ และตอบโต้ว่า การยืดหยุ่นเป็นเรื่องดี โดยเฉพาะกับประธานาธิบดีที่ต้องเจรจากับสภาคองเกรสและผู้นำต่างชาติ

3. พร้อมจะทำเรื่องที่แตกต่าง ทรัมป์ไม่หวั่นเกรงที่จะสนับสนุนความคิดนอกกรอบ ในยุคที่นักการเมืองมากมายรวมถึงนางคลินตัน หยุดโดยสัญชาตญาณจากการแสดงความเก็นที่ขัดต่อหลักการของพรรค แต่ดูเหมือนว่าทรัมป์จะพร้อมที่จะแสดงความเห็นโดยปล่อยตามอารมณ์อย่างไม่ลังเล และเป็นสิ่งที่ได้ผลมาจนถึงตอนนี้

ทรัมป์ทำให้เกิดการถกเถียงมากมาย เช่น ปกป้องนโยบายประกันสังคม หรือชื่นชมเรื่องการคุมกำเนิด ซึ่งหากเป็นในอดีตนักการเมืองรีพับลิกันที่พูดเช่นนี้จะไม่มีอนาคต ทรัมป์พบเส้นทางที่มากขึ้นด้วยการทำตัวให้แตกต่างจากนักการเมืองคนอื่นๆ เท่านั้น

4. พูดคุยกับผู้ลงคะแนนที่ไม่เป็นมิตรกับตัวเอง ทรัมป์เป็นผู้สมัครที่รู้วิธีที่จะพูดกับผู้ลงคะแนนที่เกลียดชังเขาในคณะผู้เลือกตั้ง เขายินดีที่จะพูดในสิ่งที่คนเหล่านี้ต้องการฟัง แม้จะมีความเสี่ยงในการทำเช่นนี้ และเขาสามารถเชื่อมโยงกับความเกลียดชังนี้ด้วยวิธีที่คงเป็นไปได้ยากสำหรับผู้สมัครคนอื่นๆ เช่น เจบ บุช นอกจากนี้ยังดูเหมือนว่า ทรัมป์จะไม่มีขอบเขตจำกัดในถ้อยคำที่เขาจะใช้เพื่อโน้มน้าวใจคนเลย

5. การเป็นคนนอก ในช่วงเวลาที่ประชาชนเกลียดชังระบบการเมืองเดิมๆ นี่เป็นหนทางหนึ่งที่ทรัมป์สามารถใช้ความไร้ประสบการณ์ และสายสัมพันธ์ที่ห่างเหินของเขากับรัฐบาลสหรัฐฯ ให้เกิดความได้เปรียบ ในช่วงเวลานี้ที่ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งจำนวนมากไม่เชื่อใจทุกอย่างในรัฐบาลวอชิงตัน เขาสามารถอ้างได้ว่า เขาไม่มีส่วนร่วมกับวอชิงตัน


ภาพล้อเลียนโดนัลด์ ทรัมป์ ในนครบาร์เซโลนา ประเทศสเปน (ภาพ: AFP)

จุดอ่อนของ โดนัลด์ ทรัมป์

1. มุ่งสานสัมพันธ์กับลัทธิสุดโต่ง ทรัมป์มีท่าทีที่แสดงให้เห็นว่า เขาต้องการให้มีผู้นิยมความรุนแรงเป็นผู้มือสิทธิ์เลือกตั้งด้วย โดยระบุว่า ผู้อพยพ, ผู้หญิง และชาวมุสลิม ซึ่งมีบทบาทโดยตรงในกลุ่มต่อต้านการตรวจคนเข้าเมือง (Nativism), กลุ่มผู้กีดกันทางเพศ และหวาดกลัวชาวต่างชาติ ต่างก็มีสิทธิ์เลือกตั้ง เขายังวิพากษ์วิจารณ์ผู้พิพากษา กอนซาโล คูเรียล และแสดงความกังขาว่า ผู้พิพากษามุสลิมจะตัดสินคดีอย่างเป็นธรรมหรือไม่ด้วย

2. คาดเดา, เอาแน่เอานอนไม่ได้ และขี้โมโห ทรัมป์เป็นคนที่คาดเดาไม่ได้ ทั้งยังเอาแน่เอานอนไม่ได้ ทำให้ไม่รู้ว่าเขาจะทำอะไรหากได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งหากมองในบางแง่มุม ทรัมป์อาจถูกจัดว่าเป็นภัยใหญ่หลวง เรื่องนี้เปิดช่องให้ฝ่ายเดโมแครตหยิบความสงสัยของผู้มีสิทธิ์ลงคะแนนเสียงมาเล่นงานทรัมป์ เขายังแสดงให้เห็นความโกรธเกรี้ยวหลายครั้ง ทำให้เกิดภาพลักษณ์ที่ไม่ดีว่าเขาจะเป็นอย่างไรหากได้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีและผู้บัญชาการทหารสูงสุด นอกจากนี้ยังทำให้เกิดคำถามมากมาย ว่าเขาจะยอมทำงานภายใต้ขอบเขตจำกัดของรัฐธรรมนูญหรือไม่

3. ได้รับการสนับสนุนอย่างไม่เต็มใจจากรีพับลิกัน ทรัมป์ได้รับการสนับสนุนจากสมาชิกพรรครีพับลิกันอย่างไม่เต็มใจนัก คล้ายถูกมัดมือชก เนื่องจากเขาเป็นผู้สมัครเป็นตัวแทนพรรคไปลงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ของพรรค และเรื่องนี้อาจส่งผลกระทบในการลงคะแนนเสียงเลือกเขาเป็นตัวแทนอย่างเป็นทางการ ในการประชุมใหญ่ของพรรคในเดือน ก.ค. ซึ่งเขาจำเป็นต้องได้เสียงสนับสนุนจากคณะผู้เลือกตั้ง 90-95% และหากต้องการชนะเลือกตั้ง ก็จำเป็นต้องให้มีผู้ลงคะแนนออกมาใช้สิทธิ์จำนวนมากในรัฐที่คะแนนเสียงแกว่งไปมาไม่แน่นอนด้วย

4. ประเด็นถกเถียงและเรื่องอื้อฉาวมากมาย ทรัมป์ถูกรายล้อมไปด้วยข้อถกเถียงและเรื่องอื้อฉาวมากมาย ทั้งเรื่องที่เขาไม่เปิดเผยข้อมูลการคืนภาษีของเขา หรือเรื่องข้อกล่าวหาที่ว่า เขามีส่วนเกี่ยวข้องกับองค์กรอาชญากรรม รวมทั้งเรื่องราวอื้อฉาวส่วนตัวที่พร้อมจะถูกขุดขึ้นมาได้ทุกเมื่อ ซึ่งอาจทำให้เกิดความกังขาในหมู่ผู้ลงคะแนนเสียง แต่ก็มีข่าวดีอยู่บ้างที่ฝ่ายต่างข้ามอย่างนางคลินตัน ก็มีข้อถกเถียงให้ถูกเล่นงานเช่นกัน แม้จะไม่มากเท่าทรัมป์ก็ตาม

5. มีความรู้ในประเด็นนโยบายไม่มาก ระหว่างการเลือกตั้งขั้นต้น ทรัมป์แสดงให้เห็นบ่อยว่าเขาความรู้พื้นฐานบางอย่างเกี่ยวกับนโยบายน้อยมาก ซึ่งบางครั้งก็เห็นได้ชัดเจนจากถ้อยแถลงของเขา เช่น ตอนที่เขาสับสนในคำถามเกี่ยวกับ ‘nuclear triad’ (วิธีการยิงอาวุธนิวเคลียร์ทั้ง 3 วิธี) และคำถามเกี่ยวกับ ‘Brexit’ (การลงประชามติว่า สหราชอาณาจักรจะออกจากสหภาพยุโรปหรือไม่) แม้ว่าตอนนี้เขากำลังจะได้รับเลือกเป็นตัวแทนพรรครีพับลิกัน แต่จุดอ่อนนี้จะสร้างผลร้ายต่อเขาอย่างมาก หากต้องเผชิญหน้ากับนางคลินตัน ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้มีประสบการณ์และฉลาดที่สุดในวงการการเมืองสหรัฐฯ.

 

Leave a comment