Star Retro : ‘ฟิวส์-กิตติศักดิ์ ชีวาสัจจาสกุล’ การเรียนรู้ที่ทำให้พบในสิ่งที่รัก

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/entertain/220244

วันอาทิตย์ ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2559, 06.00 น.
สัปดาห์นี้ “สตาร์เรโทร” แวะมาจิบกาแฟยามบ่ายที่ร้าน HONOR SOCIAL HOUSE ร้านกาแฟสุดชิลย่านทาวน์อินทาวน์ ที่ว่ากันว่าเหล่านักแสดงและทีมงานค่ายทีวีซีนมักจะมารวมตัวกันที่นี่ และวันนี้เราก็มีนัดสุดพิเศษกับ “ฟิวส์-กิตติศักดิ์ ชีวาสัจจาสกุล”นักแสดงหนุ่ม ที่หันมาลุยงานเบื้องหลัง และปัจจุบันได้ขึ้นแท่นเป็นผู้กำกับการแสดง กับละครพีเรียดฟอร์มยักษ์
กระแสแรง “นางทาส” ซึ่งกว่าจะมาถึงจุดนี้ได้นั้นหนุ่มฟิวส์ต้องเจอะเจออะไรมาบ้าง ตามอ่านกันได้เลยค่ะ

สำหรับกระแสละคร “นางทาส” เยอะมากครับ มีทั้งลบแล้วก็บวก แต่ลบจะเยอะกว่า สำหรับผมเองเฉยๆ เพราะว่ากระแสมันมีมาตั้งแต่วางตัวละคร แต่เราก็คิดว่าตามคำที่พี่ป๋อบอก ก้มหน้าก้มตาทำไป อยู่ภายใต้ของคำว่าตีความใหม่ เราไม่ไปแตะกับละครของอีกช่องที่เขาตีความไว้ เวอร์ชั่นนี้ 2559 เรานำมาตีความใหม่ทำให้ทุกอย่างมันมีที่มาที่ไป พอเป็นพี่เอกลิขิตเขียน ก็จะเป็นสไตล์ของทีวีซีน ผมรู้ปัจจัยนี้ตั้งแต่แรก แต่จะไปห้ามความคิดของคนดูไม่ได้

แวบแรกที่ได้รับมอบหมายให้กำกับเรื่องนี้

ผมรู้สึกว่ามันเป็นตำนาน ก็ถามตัวเองว่าเราถึงไหมแต่เรามีภาพที่เราเคยเห็นอีเย็น ทุกตัวละคร เห็นดาราในรุ่นก่อนๆ ที่เขาถ่ายทอดออกมาแล้วมันตราตรึง และมาดูผู้กำกับที่ทำก็เป็นชั้นครู ในมุมกลับกันมันคือความโชคดีครับ ที่เด็กคนนึงได้มาทำในยุคนี้ มันเป็นการนำเสนอใหม่ด้วย ซึ่งผมเชื่อว่าการนำเสนอในรูปแบบนี้ เป็นการนำเสนอที่ต่างคนต่างความคิด ตอนแรกกดดัน แต่ว่าพอทำแล้วความกดดันหายไป จะทำยังไงให้คนชอบ ก่อนเริ่มถ่ายก็ถามแม่ เพราะว่าแม่อยู่มาตั้งแต่เวอร์ชั่นพี่ตุ๋ย(มนฤดี ยมาภัย) ถามว่าอะไรที่ทำให้คนดูติด แม่ก็ตอบมาแบบชาวบ้านมากว่า ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้อีเย็นจะเจออะไร เราก็อ๋อ…เขารักตัวละคร เขาสงสารตัวละคร มันก็เลยเป็นคำที่กลับมาว่าแล้วเราจะทำยังไงให้คนดูรักตัวละคร รักอีเย็นให้ได้ ไม่ใช่รักแยม

เป็นละครเรื่องที่ 2 ที่กำกับ คิดว่าคนดูจะเปิดใจรับเราอย่างไร

ผมห้ามความคิดคนไม่ได้ครับ บางคนอาจจะว่าเด็กไป ใหม่ไป กระดูกยังไม่ถึง แล้วยิ่งมาเจอกับนักแสดงที่เขาไม่ได้คาดหวัง ถ้าเจอผู้กำกับที่รุ่นใหญ่กว่านี้ ดีกว่านี้จะเอาอยู่ไหม หรือเขาจะตีความดีกว่านี้หรือเปล่าผมไม่อาจห้ามความคิดได้

สิ่งที่ทำ อาจไม่ใช่สิ่งที่ฝันไว้

จริงๆ ผมอยากทำงานโฆษณา ผมเรียนมา ผมชอบงานโฆษณา มีช่วงที่ผมเล่นละครอยู่ช่อง 7 แล้วได้ไปฝึกงาน ผมรู้สึกว่ามันใช่ แต่ด้วยจังหวะเวลาที่ตอนนั้นเล่นละครด้วย เลยทำให้เราต้องเลือกว่าจะถ่ายละครให้จบ หรือว่าจะไปทำงานโฆษณา ด้วยอะไรหลายอย่างทำให้ผมต้องมาทางด้านละคร เลยทำให้โอกาสที่เขายื่นเข้ามามันหลุดไป ผมฝันว่าอยากจะกำกับโฆษณา งานกำกับละครนี่ยังไม่คิด เราอยากอยู่โปรดักชั่นเฮาส์ อยากคิดช็อตสั้นๆ แค่ 45 วิ 30 วิ เพราะว่าเป็นคนชอบคิดงาน แต่
พอดีมันควบคู่กับการมาเป็นดาราด้วย เลยทำให้เราต้องเลือกก็เล่นละครไปเรื่อยๆ จนได้มาเล่นช่อง 3 อยู่กับทีวีซีน ความคิดมันเริ่มโตขึ้น คิดว่าเดี๋ยวจะเก็บเงินแล้วก็ไปเรียนต่อทางด้านฟิล์ม (ยิ้ม) เมื่อก่อนโฆษณายังใช้ฟิล์มอยู่วันนึงพี่ปิ่น (ณัฏฐนันท์ ฉวีวงษ์) ก็ถามว่าอยากทำเบื้องหลังเหรอ เริ่มจากการที่เราเล่นละครไปสัก 5-6 เรื่องแล้วถึงเวลาที่ต้องพัก เราก็เลยขอไปเรียน อยากมีเงินสักก้อนนึงแล้วก็ออกจากวงการไปทำงานโฆษณา พี่ปิ่นก็เลยบอกว่างั้นมาทำละครสิ เราก็บอกว่า “ไม่เอาไม่ชอบละครมันแบน” พี่ปิ่นก็งงว่าแบนคืออะไร (หัวเราะ) คือมันก็คือละคร ด้วยความที่เราเป็นวัยรุ่น เขาก็บอกว่าอย่าดูถูกละครสิ ก็เลยไม่ดูถูกก็ได้ เลยมาทำละคร

ตำแหน่งแรกในงานเบื้องหลังละคร

เด็กกั้นรถครับ (หัวเราะ) คือเขาจะมีผู้ช่วย 1 ผู้ช่วย 2 อยู่หน้าเซตคอยบล็อกกิ้งนักแสดงสั่งเอ็กซ์ตร้า แต่ผมเป็นมากกว่าผู้ช่วย 2 คือผมต้องไปอยู่ไกลๆ แล้วปล่อยเอ็กซ์ตร้า และคอยกั้นรถ มันตลกตรงที่ในตอนนั้นผมก็เป็นดาราก็แต่งตัวดีมากอง คนเขาก็เปิดกระจกออกมาถามว่าถ่ายละครเหรอ แล้วหยุดดูเราด้วย ซึ่งพอมันเป็นค่ายตัวเอง จะไม่มีความเกรงใจเกิดขึ้น อย่างวันนี้
เป็นดาราเขาก็จะเรียกฟิวส์ พอไม่ใช่ปุ๊บก็จะมีคำว่าไอ้มาเลยเป็นอย่างนั้นอยู่ประมาณ 2 เรื่อง (ความรู้สึกตอนนั้น?) รู้สึกเขินครับ ผมไม่คิดว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ ที่จะมีคนมาทักเรา ไม่ได้เขินที่ต้องมาเริ่มต้นแบบนี้ คือพื้นฐานผมสมัยเรียนหอการค้าและเริ่มเล่นละครแล้วจะหาผมได้ที่สนามบาส ผมจะเป็นคนปกติแบบนี้ เพราะฉะนั้นถ้าเจออะไรที่พุ่งเข้ามาหา ผมก็จะเกิดอาการเขินทำตัวไม่ค่อยถูก

เริ่มไต่ระดับและเก็บเกี่ยวประสบการณ์

หลังจากนั้นพี่ดุลย์ (อดุลย์ บุญบุตร) ก็ให้มาทำเวที หรือว่าตำแหน่งผู้ช่วยกำกับรายการ คือบล็อกกิ้งนักแสดง แต่ก่อนที่จะมาบล็อกกิ้งนักแสดง แกก็จะให้ขึ้นไปบนรถโอบี คือรถที่จะส่งภาพมาให้ข้างหน้ามอนิเตอร์ผู้กำกับดูจอ ก็จะเป็นคนบอกว่าบทนี้ใครพูดอะไร โดยผู้กำกับภาพคอยบอกอีกที แล้วพอตัวละครมันเยอะๆก็ต้องมีคนบอกบท คนนี้จะพูดต่อนะ เราก็ไปจด ตอนแรกไม่รู้หรอกว่าขึ้นไปทำอะไร จากนั้นก็เข้าใจว่าเขาให้เราไปดูภาพว่าที่เขาถ่ายทอดออกมามันคืออะไร พอเราลงมาข้างล่างมาเวทีเราก็จะเห็นภาพนั้นชัดขึ้นว่าตัวละครที่อยู่แค่ตรงนี้เพราะว่ากล้องมันรับได้แค่นี้ ผมเลยเข้าใจภาพมากขึ้น และขยับมาเป็นผู้ช่วย 1 เรื่อง “ลิขสิทธิ์หัวใจ” เจอปอกับแพท พาวเวอร์ทรีรุ่นแรก ซึ่งเรื่องนี้เป็นของ บริษัท ควิซแอนด์เควส (รับงานนอกค่ายด้วย?) พี่ดุลย์ให้ไปช่วยครับ แต่ตอนแรกเขาบอกว่าให้ไปเป็นแอ๊กติ้งโค้ชเราก็ไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร คือเขาอยากให้เราไปคุยกับเด็กๆ เพราะว่าเขาคุยไม่รู้เรื่อง เราก็เลยเป็นตรงกลางที่แปลจากวัยรุ่นไปสู่ผู้ใหญ่ได้ คือเราเป็นผู้ช่วย 1 ด้วย เป็นครั้งแรกที่เราต้องเรียนรู้เอง บางรายละเอียดที่เราไม่รู้ อย่างเช่นตัวละครต่อยกัน รุ่งเช้ามาไม่มีแผล พี่แตนที่เป็นเจ้าของบริษัทเขาก็ถามว่า แล้วแผลหายไปไหน เรางงเลยครับ แผลคืออะไร เขาก็บอกว่าต่อยกันมาไม่มีแผลเลยหรือไง จำไว้นะถ้าเกิดตัวละครต่อยกันแล้วไม่มีแผลฉันจะหักเงิน เราก็อ๋อ…เกิดการเรียนรู้ด้วยสภาวะความจำเป็นหน้างาน หลังจากนั้นก็ได้เป็นผู้ช่วยผู้กำกับมาตลอด งานละครน้อยลงไปเลย ที่กลับมาเล่นจริงจังคือ “นางบาป” พร้อมกับเป็นผู้ช่วยด้วย วางบทแล้วไปแต่งตัวเล่นละคร เป็นเรื่องที่ชัดเจนเลยว่าควบ 2 ตำแหน่ง

ยังคงนึกถึงอาชีพในฝัน

ทุกวันนี้ผมก็ยังรักงานโฆษณาอยู่ครับ เพียงแต่ว่าพอเวลาทำละครแล้วมันเหมือนเกิดการเรียนรู้ไปในตัว แล้วมันก็รักที่จะทำไปโดยปริยาย ไม่ได้รักละครนะ แต่รักการทำงาน ว่าเรื่องนี้มันยังไง เพราะละครทุกเรื่องมันจะมีปัญหาให้เราได้รู้ ผมโชคดีที่ได้เจอผู้กำกับไม่ซ้ำเลยเกิดการเรียนรู้งานและเรียนรู้ผู้กำกับไปด้วย ถ้าเราซึมซับผู้กำกับได้มากเท่าไหร่ เราจะคิดแทนเขาได้แล้วทำยังไงให้เขาเชื่อใจ ผู้กำกับทุกคนจะมีภาพในหัวเวลาอ่านบท เราก็จะรู้ว่าเขาคิดยังไงเพราะอะไร พอเราคิดเยอะๆ เราก็จะซึมของเขาไป ก็เลยกลายเป็นว่าเขาไม่ต้องพูดเยอะ เขาก็จะฟังเรามากขึ้น และเราก็เริ่มสนุกค่อยๆ ขายไป พอขายได้เราก็จะแฮปปี้

9 ผู้กำกับ ที่ถือเป็นห้องเรียนห้องใหญ่สำหรับฟิวส์

พี่ดุลย์-อดุลย์ บุญบุตร, พ่ออี๊ด-สุประวัติ, พี่บุ๋ม- ประกาศิต, พี่หนุ่ม-กฤษณ์, พี่ผิน เกรียงไกรสกุล, พี่โหน่ง-วีระชัย, พี่อ๊อด-บัณฑิต, พี่ชนะ คราประยูร และพี่ซ้ง-ธรธร 9 ท่าน แต่ละท่านก็จะมีเทคนิคในการกำกับที่ต่างกัน อย่างพ่ออี๊ดเราก็พยายามซึมซับอะไรที่พ่อมีความแปลกประหลาด เมื่อก่อนผมเรียกไม่ถูกว่าคืออะไร จนวันนี้ผมรู้แล้วว่ามันคือบารมี แล้วมันไม่ได้มีทุกคนนะ เกิดขึ้นเองได้โดยไม่ต้องสร้าง ตอนแรกผมก็ไม่รู้หรอกว่าเราจะได้เทคนิคอะไรยังไง แต่พอมาเริ่มช่วยพี่ผิน ผมกำกับเรื่อง ในสวนขวัญ เพราะว่า 3 เดือนแรกพี่ผินยังมาไม่ได้ก็เลยต้องกำกับไปก่อน ผมรู้สึกว่าพออ่านบทไปแล้วมันมีบางฉากที่เราอยากได้ภาพแบบนี้ ทำไมอยู่ดีๆ เราอยากได้ดอลลี่แบบพี่โหน่ง ทำไมเราอยากได้จังหวะการเล่นแบบพี่ผิน ทำไมเวลาเราไปนั่งพูดกับนักแสดงเรารู้สึกอยากเป็นเหมือนพ่ออี๊ด แล้วก็ได้ความที่แบบอ่านแล้วอ่านอีกของพี่นะ จนวันที่เราได้ขึ้นเป็นผู้กำกับเต็มตัวจากเรื่อง ใต้เงาจันทร์พี่ปิ่นอยากให้เราเริ่มต้นกำกับเรื่องเบาๆ ก่อน มีคอเมดี้ด้วย เหมือนให้เราก้าวไปอย่างช้าๆ ค่อยเป็นค่อยไป

ย้อนวันวานผลงานการแสดงที่ทำให้ทุกคนรู้จัก

ผลงานแจ้งเกิดผมไม่ค่อยมีนะครับ (หัวเราะ) เป็นนักแสดงที่อยู่กลางๆ ไม่ได้เปรี้ยงปร้าง ไม่ใช่ซุป’ตาร์ ก้าวแรกในวงการ มันเป็นช่วงชีวิตนึงของคุณอาผมครับ ที่เขาไปเดินห้างแล้วมีประกวด ก็เลยเอาใบสมัครมาให้น้องเขา ซึ่งเป็นอาอีกคนของผม แต่ผมก็อยู่ด้วย อาก็เลยมองมาที่ผมและคิดว่าหลานน่าจะมีสิทธิ์มากกว่าน้องผมก็ไม่เอา แต่สุดท้ายก็ไปประกวด ที่บ้านไปเชียร์กันทั้งบ้านเลย และก็ตกรอบ คงจะเป็นเพราะดวงจริงๆ คือรอบสุดท้ายเป็นเวทีใหญ่เขาก็เอาพวกที่ตกรอบมาเล่นกิจกรรม และมี พี่อุ๊บ-วิริยะ มาเป็นกรรมการตัดสินก็เลยขอเบอร์และพาไปถ่ายแบบถ่ายแฟชั่นเสื้อผ้าในนิตยสารวัยรุ่น พาไปเจอพี่สมเดช ได้ถ่ายงานนู่นนี่ เรารู้สึกว่ามันเวิร์กนะกับการที่ไปถ่ายเสื้อผ้า 4-5 ชุดแล้วได้เงินตั้งพันห้ามาซื้อรองเท้าสตั๊ด (หัวเราะ) และได้เล่นละครกับค่ายโซนิกทางช่อง 3 แต่เป็นลูกน้องผู้ร้าย ผู้กำกับก็เป็นเพื่อนพี่อุ๊บ ไปตั้งแต่ 7 โมง ได้เล่นทุ่มนึง พูดประโยคเดียว “ผู้หญิง
ไม่เกี่ยว” เตรียมตัวซ้อมเต็มที่ตื่นเต้นมากปูเสื่อรอนั่งซับหน้าซับตาตั้งแต่ 7 โมง พอถึงเวลาเข้าฉากพูด ผู้หญิงไม่เกี่ยวแล้วมันก็เหน่อ เทคเดียวผ่านเลย พอฉากนี้ออนแอร์ตอนนั้นผมอยู่ ม.6 อายมาก ไม่นึกว่าประโยคนี้มันจะย้อนมาทำร้ายผม เดินไปไหนเพื่อนก็ล้อ ผมจำถึงวันนี้เลย (หัวเราะ) นั่นคือครั้งแรกของการแสดงในชีวิต ผมเป็นคนสุพรรณซึ่งปกติก็ไม่ได้พูดเหน่อนะ แต่วันนั้นมันเหน่อเองหลังจากนั้นก็ได้เล่นร้อยรสบทละครของทางช่อง 3

ขยับมามีบทบาทมากขึ้น

พี่อุ๊บก็พาไปที่อัครมีเดียไปเล่น สวัสดีคุณครู ฉากจบของเรื่องคือเด็กทุกคนที่ครูสอนแล้วเขาได้ดี กลับมาไหว้ครูที่โรงเรียนต่างคนก็ต่างมีอาชีพ ผมเป็นทหารก็ใส่ชุดทหารมาเลย แล้วพอดีทางโคลีเซี่ยมเขาดูเลยเรียกมาคุยให้มาเล่นเรื่อง กองร้อย 501 ทั้ง 2 ภาค และเป็นความโชคดีที่ได้เล่นกับ อาบัณฑิต ฤทธิ์ถกล เรื่อง นางสาวโพระดก ซึ่งดีใจมากบุญชูคือหนังในใจเรา พอได้มาเล่นกับอาบัณฑิตวันแรกมาถึงก็เดินถือสมุดไปขอลายเซ็นอาเลย หลังจากนั้นก็ได้ร่วมงานกับดีด้า และได้ออกเทปกับค่ายรถไฟดนตรี สมัยนั้นมีออกเทปด้วยนะ ชีวิตทำหลายอย่างมาก จะเรียกว่าประสบความสำเร็จมากไหมมันก็คือในระดับนึง แต่มันทำให้ผมเข้าใจนักร้องว่าการที่เขาไปถึงสถานีแล้วมีคนมาอยู่ตรงกระจกมันเป็นอย่างนี้นี่เอง มีดีเจมาสัมภาษณ์ มีคนโทร.เข้ามาคุย อารมณ์แบบนี้พอเราเข้ามาทำงานมันทำให้เรารู้สึกว่าเราโชคดีมากเรายืนร้องเพลงแล้วมีคนร้องเพลงเราได้ เข้าใจเลยว่ามันมีคุณค่ามากแค่ไหน

ละครในฝันที่อยากจะกำกับ

พี่เลี้ยง ซึ่งพี่เลี้ยงเป็นละครเรื่องแรกที่ทำให้เด็กคนนึงที่อยู่ในช่วง ม.3-ม.4 เป็นช่วงที่เขาควรจะออกไปทำอะไรก็ไม่รู้ แต่มาดึงให้เขานอนดูอยู่หน้าทีวี.และยิ้มไปกับนางเอก เข้าใจไปกับพระเอก เข้าใจถึงความละมุนของคำว่า พี่ชายกับคุณเร และตลกมากคือแม่คิดว่าเราออกไปเที่ยวกับเพื่อนข้างนอก ก็ขับรถตามหาเราทั่วสุพรรณเลยแต่ไม่เจอ เพราะเรานอนอยู่บนห้องดูพี่ต้อม-รชนีกร เป็นคุณเรอยู่ (ยิ้มตาเป็นประกาย) เป็นละครที่ทำให้ผมรู้สึกกับคำว่าความรู้สึกในการนั่งดูละคร ผมรู้สึกว่าผมมีความรักกับดาราคนนี้ ผมอยู่วงโยธวาทิตก็แอบไปเป่าเมโลเดียนเป็นเพลงประกอบละครเรื่องพี่เลี้ยง คือมันคงมีอานุภาพมากที่ทำให้ผมเป็นขนาดนี้ได้

ผู้กำกับการแสดงในแบบที่ ฟิวส์ เป็น

ผมเป็นผู้กำกับที่หน้าตาไม่ค่อยมีคนอยากเข้าใกล้เวลาทำงาน หน้าตาดูจริงจัง หน้าจะคิดตลอดเวลา แล้วพอเจอกับตัวละครเยอะๆ นักแสดงเยอะๆ ผมจะจริงจังกับแอ๊กติ้งมาก ผมรู้สึกว่าละครที่ดีมันมาจากบทที่ดี และเล่นให้คนดูรู้สึกว่าคุณเป็นตัวนั้น ที่จริงจังนี่ไม่ได้ดุนะครับ ผมเป็นคนไม่ด่าคน เพราะเคยโดนแล้วผมก็เลยไม่อยากให้คนอื่นโดน ผมคิดว่าการที่คนเราได้เจอกันทำงานด้วยกัน คงจะมีอะไรลิขิตมาแล้ว มีแต่สิ่งดีๆให้กันดีกว่า เจอหน้ากันภายหลังจะได้มีแต่รอยยิ้มถึงแม้ว่าละครเรื่องนั้นจะซัคเซสหรือไม่ก็ตาม

ความรักที่สุกงอมพร้อมจะมีข่าวดีหรือยัง

พยายามจะให้ภายในปีนี้ครับ กำลังอยู่ในการรวบรวมชื่อต่างๆ แต่ว่าพื้นฐานคือเราไม่อยากจัดโรงแรมเรารู้สึกว่าไปโรงแรมจะต้องแต่งตัว ยกแก้วแล้วก็กลับ ผมอยากมีโมเมนต์ที่ผมมีความสุขกับโอ๋แล้วผมก็อยู่กับแขกกับญาติที่เราทั้งสองคนรู้จัก มันเลยทำให้ผมรู้สึกว่าผมจะต้องเขียนชื่อใครบ้าง มันเยอะนะ แต่ก็คิดว่าคงจะจัดแบบธรรมดา ให้เป็นอะไรที่น่าจดจำและมีความน่ารักดีกว่า อยากให้ความอบอุ่นมันเกิดขึ้น

ฟิวส์-โอ๋ เป็นคู่รักสไตล์ไหน

เราคบกันมาก็น่าจะ 10 ปีแล้วนะครับ เป็นคู่ที่เป็นทุกอย่าง ในสถานะเวลาและโอกาส บางทีก็เป็นเพื่อน บางทีก็เป็นแฟน บางทีเราไปกับเพื่อนเราเขาก็สามารถไปนั่งกับเพื่อนเราที่เป็นผู้ชายได้เลย มันเลยมีความไม่น่าเบื่อที่จะถูกปรับเปลี่ยนไป ผมโชคดีมาก คือมีช่วงนึงที่ผมทำงานแบบบ้ามาก บางทีเจอ 2 เรื่อง 7 วัน มันต้องอาศัยความเข้าใจ ความไม่คิดอะไรเยอะ (โอ๋คงจะชินเพราะอยู่วงการเหมือนกัน) ผมเคยถามเขาเรื่องนี้เขาก็บอกว่า คนบ้าอะไรจะมาชินได้ 7 วัน ตลอด 4-5 เดือนเขาไม่ชินแต่เขาแค่เข้าใจ เคยมีคนทักผมว่าทำไมไม่พาโอ๋ไปกินข้าวบ้าง ผมก็ค่อยถอยออกมา และผมก็ยังได้สิทธิ์นั้นอยู่ และมีพาเขาไปด้วยบ้าง อย่างเช่นไปดูโลเกชั่นเขาก็อยากไปเห็นเหมือนได้ไปเที่ยวไปถ่ายรูปด้วย

ชีวิตหลังแต่งงานมีข้อจำกัดในการรับงานของกันและกันบ้างไหม

โอ๋ยังรับอยู่ ผมไม่ค่อยไปก้าวก่ายเรื่องงานนะ ผมแล้วแต่เขา ผมมีความรู้สึกว่าคนเราจะมีพื้นที่ของตัวเอง ถ้ามันไม่ดูนอกกรอบการคบกันมากเกินไป ก็จะแล้วแต่เขาครับ (จะมีน้องเลยไหม) ผมอยากมีมากผมเป็นคนชอบเด็ก แล้วช่วงวัยตอนนี้ด้วยนะ เวลามีเด็กมากองถ่ายก็จะนั่งหอมกอดเลย ผมสนุกครับชอบเด็ก

บุคคลที่อยากจะกล่าวขอบคุณ

คนแรกคงเป็น พี่อุ๊บ-วิริยะ และเหล่าพี่ๆ ในวงการในเวลานั้นที่ผมได้เข้าวงการมาอาจจะพูดชื่อไม่หมดแต่ขอรวมไปว่าเป็นเพื่อนในวงการของพี่อุ๊บในช่วงนั้นถ้าได้อ่านคงเข้าใจผมนะครับ ทุกวันนี้ก็ยังได้ไปเจอพี่ๆ บ้างขอบคุณพี่ช่างแต่งหน้าทุกคนที่น่ารัก พี่ๆ นักข่าว แล้วก็อาคมน์ อรรฆเดช ที่เสียไปแล้ว อาพรพิมล เจ้าของโคลีเซี่ยม ที่ทำให้ผมเข้ามาแล้วมีชื่อเสียงมากขึ้น ทำให้ผมมีพลังในการใช้ชีวิตปลูกสร้างเด็กคนนึง ทำให้ผมได้เรียนรู้ตัวเอง แล้วก็พี่ปิ่นที่ได้ให้โอกาสมาอยู่ช่อง 3 ได้เข้ามาเป็นนักแสดงและได้มาทำงานเบื้องหลัง ถ้าวันนั้นพี่ปิ่นไม่ชวนให้ลองมาทำก็คงไม่มีวันนี้ ขอบคุณที่ทำให้ผมได้เจอผู้กำกับเยอะมากทั้ง 9 ท่าน ที่แต่ละท่านก็มีมุมมองที่ต่างกัน ขอบคุณผู้กำกับทั้ง 9 ท่าน รวมไปถึงนักแสดงที่ผมได้เจอ ไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ที่ทำให้ผมได้เรียนรู้ครับ

แม้งานกำกับละครจะไม่ใช่สิ่งที่หนุ่มฟิวส์ใฝ่ฝันที่จะทำ แต่เมื่อได้รับโอกาสดีๆ จากผู้ใหญ่ที่เคารพเขาก็ทุ่มเทเต็มที่ จนวันนี้เขามีความรู้สึกรักที่จะทำมันต่อไปเรื่อยๆ แบบนี้วงการทีวี.บ้านเราก็มีผู้กำกับคุณภาพเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคนแล้วสินะ

 

กุหลาบสีเงิน

Leave a comment