ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 25 มิ.ย. 2559 07:30
อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/646774

เสียงโหวตชนะร้อยละ52:48 นายกฯลาออก-หุ้นร่วงกราว 27ชาติที่เหลือผนึกแรงลุยต่อ ทองคำผันผวนพุ่งบาทละพัน
ช็อกทั้งโลก ผลประชามติ “สหราชอาณาจักร” ออกจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป (อียู) ส่งผลกระทบถ้วนหน้าทั้งตลาดเงิน ตลาดหุ้น ตลาดทองคำราคาผันผวนหนัก ตามด้วย “เดวิด คาเมรอน” แสดงสปิริต ลาออกจากตำแหน่ง เปิดทางให้นายกฯ คนใหม่ มาสานภารกิจต่อ ขณะที่ธนาคารกลางยังมั่นใจรับมือสถานการณ์หลังจากนี้ได้ ด้าน “สมคิด” ย้ำอังกฤษออกจากอียูอย่าตื่นตระหนกเพราะเตรียมการรับมือไว้แล้ว ธปท.ยันพร้อมดูแลค่าเงินบาทนายแบงก์ชี้ตลาดเงินยังผันผวนต่อ หลังเงินปอนด์ดิ่งทันทีร้อยละ 10 ขณะที่ยูโรร่วงร้อยละ 4.2 ส่วนราคาทองผันผวนหนัก ปรับขึ้น-ลงทำสถิติสูงสุด 31 ครั้ง ขึ้นสูงสุดบาทละ 1,350 บาท เบ็ดเสร็จ ทั้งวันขึ้น 1,000 บาท เมื่อเทียบกับวันก่อน
กลายเป็นเหตุการณ์ครั้งประวัติศาสตร์ สั่นสะเทือนแวดวงการเมืองโลก หลังผลการลงประชามติจากชาวเครือจักรภพอังกฤษข้อสรุปชัดเจนแล้วว่า สหราชอาณาจักร ควรแยกตัวออกจากสหภาพยุโรปหรืออียู
แห่ใช้สิทธิมากสุดในรอบ 24 ปี
ทั้งนี้ สำนักข่าวบีบีซีของอังกฤษรายงานว่า การจัดทำประชามติทั่วสหราชอาณาจักร ที่เริ่มขึ้นตั้งแต่เวลา 07.00 น. ของวันที่ 23 มิ.ย.ตามเวลาท้องถิ่น ไปจนปิดคูหาในเวลา 22.00 น. ของวันเดียวกัน หรือประมาณ 05.00 น. ของวันที่ 24 มิ.ย. ตามเวลาไทยนั้น มีผู้ออกมาใช้สิทธิมากถึง 33.5 ล้านคน จากผู้มีสิทธิลงคะแนน 46.5 ล้านคน หรือคิดเป็น 72.2 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งถือเป็นการออกมาใช้สิทธิในสหราชอาณาจักรที่มากที่สุดในรอบ 24 ปี
เสียงส่วนใหญ่ให้ออกอียู
โดยผลการนับคะแนนปรากฏว่า เสียงโหวตให้สหราชอาณาจักร “ออก” จากสหภาพยุโรป 51.9 เปอร์เซ็นต์ ต่อเสียงโหวตให้สหราชอาณาจักร “อยู่” กับสหภาพยุโรป 48.1 เปอร์เซ็นต์ หรือคะแนนดิบโหวตออก 17,410,742 เสียง ต่อ คะแนนโหวตอยู่ 16,141,241 เสียง คิดเป็นเสียงวัดชี้ขาดกัน 1,269,501 เสียง ขณะที่บัตรเสียมีทั้งหมด 26,033 ใบ ในยอดรวมผลโหวตประชามติสหราชอาณาจักรทั้งหมดนี้ อังกฤษถือเป็นตัวแปรสำคัญในการโหวตให้ออกจากอียู 15.1 ล้านเสียง ต่อ 13.2 ล้านเสียง หรือ 53.4 เปอร์เซ็นต์ ต่อ 46.6 เปอร์เซ็นต์ ตามด้วยแคว้นเวลส์ ที่โหวตออก 854,572 เสียง ต่อ 772,347 เสียง หรือ 52.5 เปอร์เซ็นต์ ต่อ 47.5 เปอร์เซ็นต์ ตรงกันข้ามกับสกอตแลนด์ ที่เสียงโหวตให้อยู่กับอียู 1.66 ล้านเสียง ต่อ 1.01 ล้านเสียง หรือ 62 เปอร์เซ็นต์ ต่อ 38 เปอร์เซ็นต์ และแคว้นไอร์แลนด์เหนือที่โหวตอยู่กับอียู 440,437 เสียง ต่อ 349,442 เสียง หรือ 55.8 เปอร์เซ็นต์ ต่อ 44.2 เปอร์เซ็นต์ เช่นเดียวกับเขตปกครองยิบรอลตา ทางตอนใต้ของสเปนโหวตให้อยู่กับอียูต่อ 19,322 เสียง ต่อ 823 เสียง หรือ 95.9 เปอร์เซ็นต์ ต่อ 4.1 เปอร์เซ็นต์
นายกฯเดวิดไขก๊อก
ต่อมานายเดวิด คาเมรอน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ออกแถลงการณ์ ที่บ้านเลขที่ 10 ถนนดาวนิง ในกรุงลอนดอน โดยกล่าวว่าประชาชนได้แสดงจุดยืนให้เห็นอย่างชัดเจนแล้ว ว่าต้องการมุ่งไปในทางที่ต่างออกไป ด้วยเหตุนี้จึงเห็นสมควรว่า ประเทศควรจะมีผู้นำใหม่ ที่พร้อมจะนำประชาชนไปในทางดังกล่าว ในฐานะนายกรัฐมนตรีที่จะบริหารประเทศต่อไปอีกหลายเดือนนั้น ตนพร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อให้รัฐนาวาแห่งนี้มีความมั่นคง แต่คิดว่าหลัง
จากนั้นตนคงไม่เหมาะที่จะเป็นกัปตันอีกต่อไป และระบุว่าควรมีนายกรัฐมนตรีคนใหม่ภายในเดือน ต.ค.นี้ ในช่วงที่พรรครัฐบาลอนุรักษนิยมจะจัดการประชุมใหญ่พรรค ส่วนคณะรัฐมนตรีจะจัดประชุมกันในวันที่ 27 มิ.ย. เพื่อหารือเพิ่มเติม เช่นเดียวกับร่างกฎหมายต่างๆที่จะเดินหน้าต่อไป
ให้นายกฯใหม่เจรจาอียู
ส่วนเรื่องการเจรจากับสหภาพยุโรปนั้น นายคาเมรอนกล่าวว่า จำเป็นจะต้องเริ่มภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ที่จะต้องตัดสินใจว่าจะดำเนินการเช่นไรตามสนธิสัญญามาตรา 50 ของสหภาพยุโรปว่าด้วยเงื่อนไขการออกจากการเป็นสมาชิก รวมถึงกระบวนการกฎหมายภายในประเทศ และถึงแม้การออกจากสหภาพยุโรปครั้งนี้จะไม่ ใช่หนทางที่ตนแนะนำ แต่ก็ขอแสดงความชื่นชมต่อความเข้มแข็งของพวกเรา และเชื่อว่าเราจะอยู่รอดกันเองได้โดยไม่ต้องพึ่งอียู ซึ่งต่อมาสำนักข่าวต่างประเทศรายงานด้วยว่า นายคาเมรอนได้เดินทางไปเข้าเฝ้าสมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธที่ 2 ประมุขแห่งราชวงศ์อังกฤษ ที่พระราชวังบั๊กกิ้งแฮม ในกรุงลอนดอน หลังเสร็จสิ้นแถลงการณ์ดังกล่าว
ปชช.ฮือล้อมแกนนำให้แยกตัว
ด้านนายบอริส จอห์นสัน อดีตนายกเทศมนตรีกรุงลอนดอน และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสังกัดพรรคอนุรักษนิยมรัฐบาล ที่ถือเป็นอีกหนึ่งแกนนำรณรงค์แยกตัวออกจากสหภาพยุโรป ทั้งยังเป็นตัวเก็งที่อาจได้รับเลือกเป็นหัวหน้าพรรคอนุรักษนิยมพรรครัฐบาลแทนนายคาเมรอน ถูกกลุ่มชาวบ้านที่สนับสนุนให้สหราชอาณาจักรอยู่กับอียูต่อ รวมตัวประท้วงหน้าบ้านพักในกรุงลอนดอน พร้อมตะโกนด่าทอ จนเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องมาให้การอารักขาพาออกจากบ้าน ซึ่งระหว่างเดินไปที่รถนายบอริสยังถูกฉุดกระชากอีกด้วย ก่อนจะออกแถลงการณ์ต่อมาว่า ไม่จำเป็นจะต้องรีบดำเนินการแยกตัวจากสหภาพยุโรป พร้อมกำชับว่าเราไม่ได้หันหลังให้ยุโรป ลูกหลานในอนาคตของเราก็ยังเป็นชาวยุโรปอยู่ดี นอกจากนี้ สำนักข่าวต่างประเทศยังรายงานด้วยว่า อีกหนึ่งตัวเต็งที่จะขึ้นมาแทนนายคาเมรอน อาจเป็น นายไมเคิล โกฟ รมว.ยุติธรรมอังกฤษ ที่หนุนการแยกตัวออกจากอียู
ธนาคารกลางพร้อมรับมือ
ส่วนนายมาร์ค คาร์นีย์ ผู้ว่าการธนาคารกลางอังกฤษ ออกแถลงการณ์ว่า จากผลประชามติครั้งนี้แน่นอนว่า จะมีปัจจัยที่ไม่แน่นอนตามมา และจะต้องใช้เวลาที่จะตกลงกันให้ได้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างสหราชอาณาจักรกับสหภาพยุโรป ไปจนถึงกับประเทศต่างๆจะเป็นเช่นไรต่อไป ซึ่งระหว่างที่ขั้นตอนดังกล่าวกำลังดำเนินไปนั้น ย่อมก่อให้เกิดความผันผวนต่อสภาพเศรษฐกิจ แต่ขอรับรองว่าธนาคารกลางเคยให้มีการจำลองสถานการณ์เหล่านี้ไว้หมดแล้ว แย่กว่านี้ก็เคยสั่งให้เตรียมตัวไว้ ซึ่งธนาคารต่างๆในสหราชอาณาจักร ได้เตรียมระดมทุนไว้มากถึง 130,000 ล้านปอนด์ และมีสินทรัพย์สภาพคล่องที่เปลี่ยนเป็นเงินสดได้คิดเป็นมูลค่าอีกกว่า 600,000 ล้านปอนด์ อย่างไรก็ตาม ขอชี้แจงด้วยว่าในเบื้องต้นหลังการลงประชามติจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงในชีวิตประจำวัน การเดินทาง สินค้าและบริการจะยังเป็นไปตามปกติ
สกอตแลนด์รอแยกตัว
นอกจากนี้ นางนิโคลา สเตอร์เจียน มุขมนตรีสกอตแลนด์ ระบุว่า จากกรณีดังกล่าว ชี้ให้เห็นว่าควรมีการเปิดประเด็นกันใหม่รอบสอง เรื่องการทำประชามติสกอตแลนด์ขอแยกตัวจากสหราชอาณาจักร ส่วนตัวแล้วคิดว่ามีความเป็นไปได้สูงที่จะเกิดประชามติรอบใหม่ ขณะที่นายโทนี แบลร์ อดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษ กล่าวว่า ประชามติที่ออกมาจะก่อให้เกิดผลที่ตามมาอันใหญ่หลวง อย่างแรกคือเป็นการเพิ่มกระแสการโหวตประชามติแยกสกอตแลนด์ออกจากสหราชอาณาจักร หลังจากเคยจัดครั้งแรกไปแล้วเมื่อปี 2557 ส่วนอีกประการนั้น ประชาชนก็จะรับรู้ต่อมาว่าการโหวตครั้งนี้ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาระดับโลกที่กำลังเผชิญกันอยู่แม้แต่นิดเดียว
นานาชาติอึ้งผลประชามติ
ส่วนปฏิกิริยาของนานาชาติ ซึ่งต่างตกตะลึงในผลการลงประชามติสหราชอาณาจักรถอนตัวจากอียูนั้น นายบารัค โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งสนับสนุนให้ยูเคอยู่ในอียูต่อไป เฝ้าติดตามสถานการณ์และรับฟังบรรยายสรุปจากทีมที่ปรึกษาอย่างใกล้ชิด ส่วนนายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ตัวแทนพรรครีพับลิกันไปชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งสนับสนุนฝ่ายถอนตัว กล่าวขณะเยือนสกอตแลนด์ว่า ชาวอังกฤษยึดการควบคุมประเทศของตนคืนแล้วด้วยการถอนตัวจากอียู ด้านรัฐบาลฝรั่งเศสถึงกับต้องจัดการประชุมฉุกเฉินเพื่อหาทางรับมือผลกระทบยูเคถอนตัวจากอียู และนายฟรองซัวส์ โอลองด์ ประธานาธิบดีฝรั่งเศสกล่าวว่า การถอนตัวของยูเคเป็นบททดสอบที่หนักหนาสาหัสของยุโรป
อีซีบีพร้อมรับมือตลาดเงิน
ขณะที่รัฐบาลจีนเรียกร้องให้ยูเคและอียูบรรลุข้อตกลงกันโดยเร็วที่สุด แต่จีนจะส่งเสริมความสัมพันธ์กับยูเคต่อไป ส่วนรัฐบาลรัสเซียแถลงว่ารัสเซียต้องการให้อียูเป็นมหาอำนาจเศรษฐกิจที่สำคัญของโลกต่อไป เช่นเดียวกับนายเจนส์ สโตลเทนเบิร์ก เลขาธิการองค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ (นาโต) แถลงว่า ยูเคจะยังเป็นพันธมิตรที่แข็งแกร่งของนาโตต่อไป ขณะที่ธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) แถลงว่า พร้อมรับมือและอัดฉีดเงินเพิ่มเติมเพื่อเสริมสภาพคล่องให้ตลาดเงิน และยืนยันว่าระบบธนาคารของกลุ่มยูโรโซนมีความยืดหยุ่นด้านเงินทุน
หลายชาติยุโรปจ่อออกอียู
วันเดียวกัน จากผลประชามติสหราชอาณาจักรออกจากอียูครั้งนี้ ได้ส่งผลให้เกิดกระแสเรียกร้องการทำประชามติออกจากอียูเช่นกัน โดยที่ฝรั่งเศส นางมารีน เลอ เปน หัวหน้าพรรคฝ่ายขวาแนวร่วมแห่งชาติ ออกแถลงการณ์ว่า จากเหตุการณ์นี้ก็ทำให้ประชาชนชาวฝรั่งเศสมีสิทธิที่จะเลือกเหมือนกัน เช่นเดียวกับที่เนเธอร์แลนด์ นายเกเอิร์ต วิลเดอร์ส หัวหน้าพรรคเสรีภาพ กล่าวว่า หากตนชนะการเลือกตั้งในเดือน มี.ค.ปีหน้า ก็จะดำเนินการจัดทำประชามติแยกตัวจากอียูหรือเน็กซิต ขณะที่ผลโพลเนเธอร์แลนด์เบื้องต้นพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถาม 54 เปอร์เซ็นต์ อยากให้มีการทำประชามติ เช่นเดียวกับพรรคฝ่ายขวาของเดนมาร์ก ที่เรียกร้องให้มีการทำประชามติ แต่ถูกนายลาร์ส ราสมุสเซน นายกรัฐมนตรีออกแถลงการณ์คัดค้าน
อียูผนึกมือเดินหน้าต่อ
ต่อมานายฌอง โคลด ยุงเคอร์ ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป ได้เข้าประชุมฉุกเฉินกับนายมาร์ติน ชูลซ์ ประธานรัฐสภายุโรป และนายโดนัลด์ ทัส ประธานสภายุโรป ก่อนออกแถลงการณ์ร่วมระบุว่า รู้สึกเสียใจที่ผลลัพธ์ออกมาเช่นนี้ แต่เคารพการตัดสินใจของสหราชอาณาจักรสหภาพยุโรปที่มีสมาชิกเหลือ 27 ประเทศจะเดินหน้าต่อไป พร้อมเรียกร้องให้สหราชอาณาจักรถอนตัวจากอียูโดยเร็วที่สุด เพราะยิ่งล่าช้าจะยิ่งทำให้ความไม่แน่นอนยืดเยื้อโดยไม่จำเป็น และพร้อมที่จะเจรจาอย่างรวดเร็วถึงเงื่อนไขต่างๆว่าด้วยการถอนตัวจากการเป็นสมาชิก ส่วนข้อตกลงเมื่อเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา ที่เคยรับปากกับนายคาเมรอนไว้ ว่าด้วยการคุ้มครองตลาดการเงินลอนดอนนั้น ถือเป็นโมฆะและจะไม่มีการเจรจาใดๆอีก ขณะที่นางแองเกลา แมร์เคิล นายกรัฐมนตรีเยอรมนี แถลงแสดงความเสียใจ และว่าการถอนตัวของสหราชอาณาจักรเป็นความเสียหายของยุโรป ส่วนสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส ประมุขคริสตจักรนิกายโรมันคาทอลิก เรียกร้องว่าการถอนตัวของยูเคจากอียูต้องรับประกันว่าจะเป็นผลดีต่อทั้งสองฝ่าย ด้านแอนดร์เซจ ดูดา ประธานาธิบดีโปแลนด์ แถลงว่า ต้องทำทุกวิถีทางเพื่อป้องกันไม่ให้ประเทศอื่นถอนตัวจากอียู
คาดอีก 2 ปีถึงเรียบร้อย
ทั้งนี้ สำนักข่าวบีบีซีรายงานด้วยว่า กระบวนการ ถอนตัวออกจากสหภาพยุโรปยังไม่มีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการ เนื่องจากการทำประชามติครั้งนี้มิได้ผูกมัดทางกฎหมาย ซึ่งสำหรับขั้นต้นนั้นสหราชอาณาจักรจะต้องประกาศใช้สนธิสัญญามาตรา 50 ของสหภาพยุโรป ว่าด้วยเงื่อนไขการออกจากการเป็นสมาชิก พร้อมเปิดการเจรจากับประเทศสมาชิกอียู ที่อาจใช้ระยะเวลาดำเนินการภายใน 2 ปีจึงจะเสร็จเรียบร้อย ไม่รวมถึงกระบวนการทางกฎหมายภายในสหราชอาณาจักร ที่รัฐบาลจะต้องดำเนินการแก้ไข หรือยกเลิกกฎหมายต่างๆที่ผูกพันกับสหภาพยุโรป ไปจนถึงการแก้ไขข้อตกลงกับสหภาพยุโรป ที่ร่างกันไว้กว่า 80,000 หน้าในช่วงเวลาหลายทศวรรษที่ผ่านมา ถึงกระนั้นมีความเป็น ไปได้ด้วยว่า กระบวนการออกจากอียูอาจใช้เวลามากกว่า 2 ปี หากสมาชิกอียูที่เหลือ 27 ประเทศ มีเสียง เอกฉันท์ให้ยืดการเจรจากับสหราชอาณาจักรต่อไป
“สมคิด” ชี้ไม่ควรตระหนก
สำหรับผลกระทบทางเศรษฐกิจของไทยที่จะเกิดจากการที่สหราชอาณาจักรมีผลประชามติให้ออกจากสหภาพยุโรป (อียู) นั้น วันเดียวกัน นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงเรื่องนี้ว่า เป็นสิ่งที่หลายคนคาดว่าวันนี้อาจจะมาถึง ฉะนั้นเมื่อ 2 สัปดาห์ที่แล้ว จึงได้เชิญประชุมกับ รมว.คลัง ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และประธานตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อหารือเตรียมการไว้แต่เนิ่นๆอยู่แล้ว ฉะนั้นอย่าได้กังวล ซึ่งด้านการเงินในระยะสั้นอาจจะมีความผันผวนอยู่บ้าง แต่ ธปท.ได้เตรียมการไว้แล้วและได้ประสานงานกับธนาคารกลางของประเทศอื่น จึงไม่น่าจะมีอะไร อย่าไปตื่นตระหนกตกใจ ส่วนทางด้านตลาดทุนก็เป็นปกติ ก็ขออย่าไปตื่นตกใจมากเพราะตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยสามารถดูแลได้
การค้าโลกปรับตัวพอควร
นายสมคิดกล่าวอีกว่า ส่วนเรื่องการค้าขายจะปรับตัวไปตามสภาวะตลาด ซึ่งขณะนี้ค่าเงินปอนด์อ่อนค่าลงมาก แต่ประเทศไทยเองค้าขายกับอังกฤษและอียูไม่มากนัก อย่างไรก็ตาม ผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นคือค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่นๆ ซึ่งเงินบาทก็จะกระทบด้วย สิ่งที่ต้องประเมินกันต่อไปคือเรื่องของกรอบการค้าและการเจรจาต่างๆในระดับเศรษฐกิจมหภาคก็จะต้องมาดูว่าจะปรับเปลี่ยนกันอย่างไร ซึ่งการค้าโลกจะปรับตัวพอสมควร ส่วนจะไปทิศทางไหนจะต้องมีการประเมิน และยังมีช่วงเวลาในการปรับตัวอีกพอสมควร
เชื่อไม่กระทบเออีซี
รองนายกรัฐมนตรียังกล่าวด้วยว่า สำหรับผลกระทบจากเงินทุนเคลื่อนย้ายมองว่า ประเทศไทยไม่ได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะเรื่องของการลงทุนเพราะเมื่อค่าเงินเยนที่แข็งค่าขึ้นมากจะทำให้การลงทุนของญี่ปุ่นไปยังต่างประเทศและมายังประเทศไทยมากขึ้น ส่วนสินทรัพย์อย่างทองก็จะมีราคาขึ้นไปเป็นเรื่องปกติเมื่อมีความผันผวนไม่แน่นอน อย่างไรก็ตาม การออกจากอียูของอังกฤษจะไม่ส่งผลกระทบต่อการรวมตัวกันเป็นประชาคมอาเซียนเพราะมีความแตกต่างกัน โดยมองว่าการรวมตัวของประเทศต่างๆในอาเซียนยังมีความสำคัญ เนื่องจากแต่ละประเทศเป็นประเทศเล็ก หากไม่รวมตัวกันเป็นประชาคมจะไม่มีเสียงในเวทีโลกเลย การรวมตัว กันโดยไม่ขัดแย้งกันจะทำให้อาเซียนมีพลังมากขึ้น
ธปท.แนะบริหารความเสี่ยง
ด้านนายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ให้ความเห็นว่า การลงประชามติครั้งนี้เป็นเรื่องที่ทุกคนทราบล่วงหน้ามาหลายเดือน ทั้งนี้ ธปท.และสถาบันการเงินจึงมีเวลาเตรียมการรับมือไว้ล่วงหน้า โดยสถาบันการเงินในประเทศไทยได้ปิดความเสี่ยงฐานะเงินตราต่างประเทศไว้ล่วงหน้าแล้ว ต่างจากในช่วงวิกฤติการเงินโลกปี 2008 ที่มีการปิดสถาบันการเงินขนาดใหญ่ คือ เลห์แมน บราเธอร์ คราวนั้นเป็นเหตุการณ์ที่ตลาดไม่ได้คาดมาก่อน จึงมีปฏิกิริยาของตลาดที่รุนแรงกว่าครั้งนี้มาก ดังนั้น ในระยะข้างหน้าจะเห็น ความผันผวนในตลาดเงินตลาดทุนมากขึ้น ทุกฝ่ายจึงควรให้ความสำคัญกับการบริหารความเสี่ยงอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้จะทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกเปราะบางมากขึ้น ต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนหลายด้าน โดยเฉพาะผลที่จะเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจอังกฤษและโครงสร้างของเศรษฐกิจยุโรปโดยรวม ซึ่งต้องติดตามโดยใกล้ชิดต่อไป
ขณะที่การประเมินผลกระทบเบื้องต้นต่อระบบเศรษฐกิจการเงินไทย พบว่า มีผลกระทบทางตรงต่อระบบเศรษฐกิจการเงินไทยผ่านช่องทางการค้าและความเชื่อมโยงของสถาบันการเงินค่อนข้างจำกัด แต่ไทยอาจได้รับผลกระทบทางอ้อมจากความผันผวนในตลาดการเงินโลกในระยะสั้นที่เพิ่มสูงขึ้น รวมทั้งภาวะความไม่แน่นอนจากกระแสการแยกตัวของประเทศอื่นๆในสหภาพยุโรป ซึ่งจะกระทบต่อการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ ตลอดจนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกในระยะต่อไป
กระทบตลาดเงินโลกผันผวน
สำหรับการประเมินผลกระทบในด้านต่างๆ เบื้องต้นมีดังนี้ ผลกระทบผ่านช่องทางการค้าคาดว่าจะมีค่อนข้างจำกัด โดยหากพิจารณาระดับการค้าของไทยกับสหราชอาณาจักรโดยตรง พบว่า ไทยมีสัดส่วนการส่งออกไปยังสหราชอาณาจักรคิดเป็นร้อยละ 1.8 ในปี 2558 ส่วนผลกระทบต่อระบบสถาบันการเงินของไทย ประเมินว่ามีในวงจำกัดเช่นกัน เนื่องจากสถาบันการเงินของไทยมีความเชื่อมโยงทางการเงินโดยตรงกับสถาบันการเงินในสหราชอาณาจักรและประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปอื่นเพียงร้อยละ 1.31 ของสินทรัพย์รวม อย่างไรก็ดี ประเทศไทยอาจได้รับผลกระทบจากความผันผวนในตลาดการ เงินโลก ทั้งในตลาดเงินตราต่างประเทศและตลาดทุน จากความกังวลของนักลงทุนที่มีเพิ่มขึ้นและการปรับ ฐานะการลงทุนระหว่างประเทศให้ตอบสนองกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป
มั่นใจไทยรับมือได้
สำหรับผลกระทบต่อตลาดทุนก็จะเผชิญกับความผันผวนในระยะสั้นได้เช่นกัน โดยคาดว่าอาจมีเงินทุนไหลออกจากตลาดหลักทรัพย์และตลาดพันธบัตรของไทยบ้างแต่จะไม่รุนแรงมากนัก เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติได้ปรับลดการลงทุนในตลาดการเงินไทยไประดับหนึ่งแล้วก่อนหน้านี้ นอกจากนั้น เศรษฐกิจของไทยยังอยู่ในเกณฑ์ดี โดยเฉพาะฐานะด้านต่างประเทศที่เข้มแข็ง ซึ่งจะช่วยรองรับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าวได้
นายแบงก์เชื่อกระทบไม่มาก
ด้านนายปรีดี ดาวฉาย ประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า สถาบันการเงินของไทย สภาพคล่อง ของสถาบันการเงินไทยมีเพียงพอที่จะรับมือต่อความผันผวนที่อาจเกินขึ้นแน่นอน โดยสถาบันการเงินได้ดูแลลูกค้ากลุ่มนักลงทุนอย่างใกล้ชิด มีการปรับพอร์ตการลงทุนเพื่อป้องกันความเสี่ยงมาก่อนหน้า เช่นเดียวกับลูกค้าในกลุ่มส่งออก ได้มีการทำประกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนก่อนหน้านี้แล้วเช่นกัน เช่นเดียวกับนายวรภัค ธันยาวงษ์ กรรมการ ผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า การที่อังกฤษออกจากสหภาพยุโรปส่งผลต่อความผันผวนในตลาด เงินตลาดทุนโลก และจะส่งผลต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจกลุ่มประเทศยุโรป ขณะที่ผลกระทบต่อไทย มองว่าไม่มาก เพราะทั้งรัฐบาล สถาบันการเงินของไทย และนักลงทุน ไม่ได้พึ่งพาแหล่งเงินทุนจากต่างประเทศ แต่อาจมีผลกระทบในอัตราแลกเปลี่ยน สำหรับตลาดหุ้นไทยมองว่า ยังมีโอกาสลงต่อต้นสัปดาห์หน้า แต่ไม่น่าลงไปลึกมาก คาดว่าจะไม่หลุดระดับ 1,380 จุด เนื่องจากผลกระทบเชิงปัจจัยพื้นฐานมีจำกัด
เงินปอนด์อ่อน-ดอลลาร์แข็ง
นายธิติ ตันติกุลานันท์ ผู้บริหารสายงานธุรกิจตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า การเคลื่อนไหวค่าเงินหลังอังกฤษลงประชามติออกจากอียู ส่งผลให้ตลาดเงินเกิดความผันผวนมาก ค่าเงินปอนด์อ่อนค่าลงทันทีร้อยละ 10 ลงมาอยู่ที่ 1.32 ปอนด์ต่อดอลลาร์สหรัฐฯ หลังจากปิดตลาดวันก่อนที่ 1.49 ปอนด์ต่อดอลลาร์สหรัฐฯ จากนั้นกลับมาเคลื่อนไหวอยู่ที่ 1.39 ปอนด์ต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ค่าเงินยูโรอ่อนค่าลงร้อยละ 4.2 มาอยู่ที่ 1.09 ยูโรต่อดอลลาร์ สหรัฐฯ จากปิดตลาดวันก่อนที่ 1.14 ยูโรต่อดอลลาร์สหรัฐฯ จากนั้นมาเคลื่อนไหวอยู่ที่ 1.11 ยูโรต่อดอลลาร์สหรัฐฯ
“เมื่อเกิดเหตุการณ์มีความเสี่ยงเกิดขึ้น ทำให้นักลงทุนวิ่งเข้าไปหาเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ โดยเฉพาะเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เทียบกับเงินในสกุลเอเชียแข็งค่าขึ้นถ้วนหน้า เช่น เงินดอลลาร์สหรัฐฯต่อเงินดอลลาร์สิงคโปร์ แข็งค่าขึ้นร้อยละ 1.3 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อริงกิตมาเลเซีย แข็งค่าขึ้นร้อยละ 1.8 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อรูเปียของอินโดนีเซีย แข็งค่าขึ้นร้อยละ 1.1 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อเงินวอนเกาหลีใต้ แข็งค่าขึ้นร้อยละ 2.5 และเงินบาทต่อเงินดอลลาร์สหรัฐฯแข็งค่าขึ้นร้อยละ 0.6”
สำหรับการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาท เปิดตลาดที่ 35.52 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่าลงร้อยละ 1.2 หลังจากปิดตลาดที่ 35.15 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ จากนั้นแข็งค่าขึ้นมาเคลื่อนไหวอยู่ที่ 35.35 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ
ส่อกระทบส่งออกไทยไปอังกฤษ
นายสมเกียรติ ตรีรัตนพันธ์ ผู้อำนวยการ สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ผลกระทบในระยะสั้น ทำให้เงินปอนด์อ่อนค่าลงอย่างรุนแรง จนกระทบต่อราคาสินค้าไทยที่จะแพงขึ้นในทันที และทำให้การส่งออกสินค้าไทยไปตลาดอังกฤษในช่วง 2-3 เดือนข้างหน้า ได้รับผลกระทบบ้าง เพราะคำสั่งซื้อหายไป แต่เชื่อว่าไม่รุนแรง เนื่องจากไทยมีสัดส่วนการส่งออกไปอังกฤษแค่ร้อยละ 1-2 ของการส่งออกรวมทั้งหมดของไทย ดังนั้น ในภาพรวมไม่น่ากังวลมากนัก อีกทั้งการออกจากอียูของอังกฤษต้องใช้ระยะเวลาอีก 2-3 ปีกว่าจะออกได้จริง ดังนั้น เชื่อว่าอังกฤษคงไม่ปรับเปลี่ยนกฎระเบียบทางการค้าในทันที และอาจไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก โดยไทยยังมีเวลาปรับตัวที่จะทำแผนในการเจาะตลาดอังกฤษมากขึ้น อย่างไรก็ตาม สิ่งที่กังวลคือค่าเงินยูโรจะอ่อนค่าตามค่าเงินปอนด์ ซึ่งปัจจุบันนี้ไทยส่งออกไปอียูราวร้อยละ 9-10 ของมูลค่าการส่งออกรวม และอาจมีประเทศอื่นในอียูออกตามอังกฤษเพิ่มเติม ซึ่งต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด
สั่งทูตพาณิชย์จับตาสถานการณ์
ด้านนางอภิรดี ตันตราภรณ์ รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า ได้สั่งการให้ทูตพาณิชย์ที่ประจำอยู่ในประเทศยุโรป รวมถึงอังกฤษ ติดตามความเคลื่อนไหวและรายงานสถานการณ์ทุกวัน หลังผลการโหวต อังกฤษออกจากอียู ซึ่งไทยยังคงดำเนินการผลักดันให้การส่งออกปีนี้ขยายตัวตามเป้าหมายร้อยละ 5
หุ้นดิ่งร่วงกราวรูดทั้งโลก
ขณะที่นางเกศรา มัญชุศรี กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า เชื่อว่านักลงทุนไทยจะไม่ตื่นตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพราะรับรู้ข้อมูลมามากพอสมควร ขณะที่หน่วยงานกำกับดูแลทั้ง ตลท. สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และ ธปท.ได้หารือกันอย่างต่อเนื่องอยู่แล้ว อีกทั้งหน่วยงานต่างๆ ทั้งธนาคารพาณิชย์ บริษัทหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนมีความเข้มแข็งทางการเงินและบริหารจัดการความเสี่ยงอย่างต่อเนื่อง จึงเชื่อว่าเหตุการณ์ครั้งนี้ทุกหน่วยงานจะรับมือได้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภาวะตลาดหุ้นทั่วโลกแสดงการตอบรับผลการลงประชามติอย่างรุนแรง หลังทราบชัดแจ้งว่า คนอังกฤษต้องการออกจากสหภาพยุโรป ทั้งนี้ตลาดหุ้นในเอเชียทุกตลาด ปรากฏว่านักลงทุนขานรับข่าวอย่างตื่นตระหนก มีผลให้ดัชนีตลาดหุ้นของทุกประเทศ รวมถึงประเทศไทย ร่วงกราวรูด โดยนิเคอิของญี่ปุ่น ร่วงไป -1,286.33 จุด ฮั่งเส็งฮ่องกง -879.96 จุด ไต้หวัน -199.69 จุด ฟิลิปปินส์ -190.32 จุด จีน -27.89 จุด อินเดีย -950.69 จุด ขณะที่อินโดนีเซีย -110.94 จุด สำหรับตลาดหุ้นไทย นักลงทุนพากันหนีตายด้วยการเทขายหุ้นทิ้ง กระทั่งดัชนีลงลึกไป -42.21 จุด ดัชนีตลาดหุ้นรวมอยู่ที่ 1,393.83 จุด ปิดตลาดช่วงเช้า -39.59 จุด แต่ปิดตลาดช่วงเย็นของวันทำการ -23.21 จุด ดัชนีปิดไปที่ 1,413.19 จุด
ทั้งนี้ในระหว่างเปิดทำการตลาดหุ้นนิเคอิของญี่ปุ่น เวทเตดของไต้หวัน และฮั่งเส็งของฮ่องกง เกิดความปั่นป่วนหนัก และดิ่งลงรุนแรงสุดในรอบ 5 ปี ทางการของ 3 ประเทศ จึงมีคำสั่งให้หยุดการซื้อขายในตลาดหุ้นเป็นการชั่วคราวเพื่อยุติความตื่นตระหนกของนักลงทุน
ทองไทยผันผวนตลอดวัน
สำหรับราคาทองคำที่พบว่ามีการปรับเปลี่ยนราคาซื้อขายตลอดวัน ทันทีที่มีข่าวผลประชามติอังกฤษต้องการแยกตัวออกจากสหภาพยุโรปนั้น นายจิตติ ตั้งสิทธิภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ กล่าวว่า ราคาทองคำในตลาดประเทศไทยวันที่ 24 มิ.ย. ผันผวนหนักรับข่าวอังกฤษออกจากอียู ตลอดทั้งวันปรับราคาขึ้น-ลงต่อเนื่องรวม 31 ครั้ง ถือว่าสูงสุดเมื่อเทียบกับปี 2554 ที่เคยทำสถิติสูงสุดไปแล้วรวม 22 ครั้งต่อวัน และปรับราคาขึ้นสูงสุดถึงบาทละ 1,350 บาท แต่หากรวมตลอดทั้งวันราคาทองคำปรับเพิ่มขึ้นรวมบาทละ 750 บาท เมื่อเทียบกับช่วงเช้าที่เปิดตลาด และปรับเพิ่มขึ้นบาทละ 1,000 บาท เมื่อเทียบกับวันที่ 23 มิ.ย.โดยในช่วงปิดตลาดราคาทองคำแท่งซื้อบาทละ 21,850 บาท ขายบาทละ 21,950 บาท ทองรูปพรรณซื้อบาทละ 21,451.40 บาท ขายบาทละ 22,450 บาท ตามราคาทองคำในตลาดโลกที่อยู่ในช่วงปิดตลาดช่วงเย็น 1,313 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ เพิ่มขึ้นกว่า 70 ดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นผลจากผลโหวตชัดเจนแล้วว่า ฝ่ายที่ต้องการให้อังกฤษออกจากสหภาพยุโรป (อียู) มีคะแนนนำ
“ราคาทองคำที่ปรับเพิ่มขึ้น ทำให้ตลอดทั้งวันมีประชาชนแห่นำทองคำ ทั้งทองคำแท่งและทอง รูปพรรณออกมาขายในตลาดจำนวนมาก ตั้งแต่ช่วงสายๆหลัง 10.00 น.เป็นต้นไป เฉพาะในย่านเยาวราชร้านทองคนแน่น และมีการเข้าคิวรอขายทองคำเต็มทุกร้าน แต่ทั้งตลาดตลอดทั้งวันเงินสะพัดน่าจะเป็น 1,000 ล้านบาท
เชื่อเอเชียกระทบน้อยมาก
นายเอ็ดเวิร์ด ลี หัวหน้าทีมวิจัยภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด เปิดเผยว่า ผลกระทบที่เกิดขึ้นทำให้เศรษฐกิจของอังกฤษในปีนี้เติบโตลดลงร้อยละ 0.7 จากเดิมที่ประเมินไว้ที่ร้อยละ 1.9 ปรับลดลงเหลือร้อยละ 1.2 ส่วนเศรษฐกิจยุโรป หรืออียู ได้รับผลกระทบร้อยละ 0.2 หรือจากเดิมประเมินไว้ที่ร้อยละ 1.4 ก็จะลดลงเหลือร้อยละ 1.2 ขณะที่ค่าเงินปอนด์ของอังกฤษประเมินว่าจะอ่อนค่าไปอยู่ที่ 1.23 ปอนด์ต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ส่วนเงินยูโรจะอ่อนค่าลงไปอยู่ที่ 1.03 ยูโรต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่ประเทศในเอเชียได้รับผลทางจิตวิทยาระยะสั้นเห็นได้จากมีการตื่นกลัว มีแรงเทขายหุ้นจนตกระนาว และค่าเงินที่ปรับลดลง โดยค่าเงินในเอเชียมี 3 สกุลที่ได้รับผลกระทบมาก ได้แก่ เงินริงกิต ของมาเลเซีย เงินวอนของเกาหลีใต้ และเงินรูเปีย ของอินโดนีเซีย ขณะที่ภาพของเศรษฐกิจนั้นเอเชียมีผลกระทบน้อยมาก เห็นได้จากตัวเลขการค้าขายระหว่างเอเชียกับอังกฤษและอียู มีเพียงร้อยละ 2
ส่อกระทบการค้าไทย-ท่องเที่ยว
ด้านนายอิสระ ว่องกุศลกิจ ประธานกรรมการหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ในระยะสั้นและระยะกลางจะไม่เป็นผลดีต่อการค้าขายระหว่างประเทศ เพราะจะมีความไม่แน่นอนเกิดขึ้นจากความกังวลต่างๆ โดยเฉพาะจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน หากเป็นผู้ซื้อรายใหม่ที่ต้องการจะสั่งซื้อสินค้าก็จะรอดู ไม่ตัดสินใจซื้อสินค้าในช่วงนี้ แต่หากมองแง่บวกค่าเงินปอนด์ที่อ่อนค่าลงไปแล้วร้อยละ 9-10 ส่งผลทำให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯแข็งค่าขึ้น และทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงไปด้วยก็จะทำให้การส่งออกอาจจะดีขึ้น
ขณะที่นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยว แห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า ตามปกติชาวยุโรป ซึ่งจะท่องเที่ยวในภูมิภาคกว่าร้อยละ 76 ของ การเดินทางทั่วไปและท่องเที่ยวประเทศอื่นที่ไม่ต้องขอวีซ่า แต่เมื่ออังกฤษออกจากอียู นักท่องเที่ยวจำเป็นจะต้องขอวีซ่าเข้าอังกฤษ ถึงแม้อาจจะมีการเจรจายกเว้นวีซ่าในภายหลัง แต่เชื่อว่าจะต้องใช้ระยะเวลาหลายปี ซึ่งทำให้อังกฤษสูญเสียรายได้ภาคการท่องเที่ยวไปในช่วงนี้
ส่วนผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับไทยในระยะสั้น 1-3 เดือนจากนี้ หากค่าเงินปอนด์ของอังกฤษอ่อนค่าลงประมาณร้อยละ 3-10 จะส่งผลให้นักท่องเที่ยวอังกฤษมีแนวโน้มลดลงร้อยละ 1-5 และกรณีค่าเงินยูโรอ่อนค่าลงร้อยละ 5-20 จะส่งผลต่อนักท่องเที่ยวยุโรปในภาพรวมมาไทยลดลงไปไม่เกินร้อยละ 5 ยกเว้นบางตลาดที่อาจจะอ่อนไหวอาจลดลงร้อยละ 5-10 เช่น อิตาลี สเปน เยอรมนี ฟินแลนด์ เป็นต้น แต่มั่นใจว่า เมื่อค่าเงินมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น นักท่องเที่ยวจะเริ่มกลับมาท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นอีกครั้ง อย่างไรก็ตามเห็นว่าภาคการท่องเที่ยวไทยมีข้อได้เปรียบ เพราะหากอังกฤษมีความยุ่งยากขั้นตอนการเจรจาขอวีซ่าเข้าประเทศ นักท่องเที่ยวอาจจะพิจารณาเลือกเดินทางมานอกภูมิภาคมากขึ้น
“อภิสิทธิ์” ชี้จุดเปลี่ยนภูมิภาคโลก
สำหรับนานาทัศนะจากฝ่ายการเมืองต่อผลประชามติของอังกฤษที่ให้ออกจากการเป็นสมาชิกอียู นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ผลกระทบเฉพาะหน้าที่เกิดขึ้นทั่วโลกคือปัญหาความไม่แน่นอนของตลาดเงินและตลาดทุน เพราะอังกฤษต้องตกลงในการเจรจาเงื่อนไขต่างๆ ในการออกจากอียู รวมถึงข้อตกลงต่างๆในอนาคต ซึ่งจะมีผลต่อเศรษฐกิจโลกสูง ที่สำคัญการแยกตัวของอังกฤษจากอียูครั้งนี้ จะเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงระดับภูมิภาคที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ที่จะไม่เป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว ส่วนผลกระทบด้านการค้า การลงทุนต่อประเทศ ไทย โดยรวมคงไม่มีอะไรมาก ทั้งนี้ ตลาดเงินและตลาดทุนโลกจะไม่ผันผวนติดต่อกันยาวนาน เพราะทุกฝ่ายต้องเร่งปรับตัว ทั้งด้านการค้า ธุรกิจต่างๆกับกติกาใหม่ให้เร็วที่สุด และการผันผวนจากนี้ไปจะไม่รุนแรงเท่ากับที่เกิดขึ้นหลังรู้ผลว่าอังกฤษจะแยกตัวออก
สัมพันธ์ “ไทย-อังกฤษ” คงเดิม
ด้านนายเสข วรรณเมธี อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า ในฐานะมิตรที่ใกล้ชิดและเก่าแก่ของอังกฤษ ไทยได้ติดตามการจัดการลงประชามติเรื่องสมาชิกภาพของอียูมาโดยตลอด และเคารพการตัดสินใจของประชาชนชาวอังกฤษในเรื่องนี้ รัฐบาลไทยเห็นว่าอังกฤษจะยังเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญในยุโรปของไทย แม้อังกฤษจะไม่ได้เป็นสมาชิกอียู แต่ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับอังกฤษจะยังคงดำเนินต่อไปอย่างใกล้ชิดเหมือนเดิม อย่างไรก็ตาม รัฐบาลไทยจะติดตามพัฒนาการของกระบวนการเจรจาระหว่างอังกฤษกับอียูต่อไป ทั้งนี้ รัฐบาลไทยจะหารือกับอังกฤษถึงการป้องกันผลกระทบ ที่หากจะมีขึ้นต่อการติดต่อระหว่างภาคธุรกิจและประชาชนของทั้งสองประเทศ