ภูมิบ้านภูมิเมือง : ‘ทุ่งกุลาร้องไห้’ แหล่งข้าวของแผ่นดินอีสาน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/lady/223620

วันอาทิตย์ ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2559, 06.00 น.

ทะเลสาบที่ทำให้ทุ่งกุลาสดใส

วันก่อนตามไปดูโครงการวัฒนธรรมสัญจรสู่สถานศึกษาที่สำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรมได้ดำเนินการมาแล้วตั้งแต่ปีพ.ศ.2551 โดยเปิดโอกาสให้เด็กนักเรียนและเยาวชนในจังหวัดต่างๆ ร่วมกิจกรรมการเรียนรู้ที่นำมิติของวัฒนธรรม ศาสนา วิทยาศาสตร์ จากหน่วยงานที่รับผิดชอบไปร่วมกันสร้างโอกาสได้เห็นได้ร่วมกิจกรรมการเรียนรู้ ซึ่งทำกันมาแล้วถึง 15 ครั้ง สำหรับครั้งนี้ร่วมกันจัดที่จังหวัดร้อยเอ็ด ซึ่งเป็นจังหวัดที่ทำให้นึกถึงทุ่งกุลาร้องไห้ ที่อยู่ในอ.เกษตรวิสัย ขึ้นมาทันทีเพราะทุ่งกุลาร้องไห้นี้มีความสำคัญมาก เพราะสามารถพลิกฟื้นความแห้งแล้งให้เป็นแหล่งผลิตข้าวจนมีชื่อเสียงของประเทศได้ ทุ่งกว้างนี้มีพื้นที่ 2,107,681 ไร่ มีบริเวณครอบคลุมพื้นที่ 13 อำเภอ 5 จังหวัด คือแนวทิศเหนือนั้นเป็นอำเภอปทุมรัตต์ อำเภอเกษตรวิสัย อำเภอสุวรรณภูมิ และอำเภอโพนทราย ของจังหวัดร้อยเอ็ด แนวทิศใต้มีลำน้ำมูลทอดยาวตลอดพื้นที่อำเภอชุมพลบุรี อำเภอท่าตูม จังหวัดสุรินทร์ แนวทิศตะวันตกผ่านอำเภอพุทไธสง จังหวัดบุรีรัมย์ อำเภอมหาชนะชัย จังหวัดยโสธร และอำเภอพยัคฆภูมิพิสัยของจังหวัดมหาสารคาม

กิจกรรมวัฒนธรรมสู่สถานศึกษา

สรุปแล้วทุ่งกุลาร้องไห้ประมาณ 3 ส่วนใน 5 ส่วน นั้นเป็นพื้นที่อยู่ในเขตจังหวัดร้อยเอ็ดทุ่งกุลาร้องไห้อยู่ห่างจากที่ว่าการอำเภอสุวรรณภูมิ6 กิโลเมตร เลยกู่พระโกนาไปประมาณ 200 เมตรทุ่งกุลาร้องไห้แห่งนี้มีเรื่องเล่ากันว่าพวกกุลาเป็นชนกลุ่มน้อยจากเมืองเมาะตะมะ ประเทศพม่าซึ่งเป็นชนกลุ่มหนึ่งที่เร่ร่อนเดินทางค้าขายระหว่างเมืองต่างๆ นั้น ได้เดินทางมาค้าขาย นำสินค้าประเภทสีย้อมผ้า เครื่องทองเหลืองต่างๆ

พวกกุลานี้ถือกันว่าเป็นชนเผ่าที่เป็นนักเดินทางนักต่อสู้ที่มีความทรหดอดทนสูงมากและความเข้มแข็งเป็นที่รู้จักกันดี เมื่อพวกกุลาเดินทางมาถึงทุ่งกว้างนี้แล้วกลับได้รับความทุกข์ยากเป็นอันมากถึงกับร้องไห้ มีพื้นที่กว้างขวางเหลือประมาณ ต้องใช้เวลาเดินทางหลายวัน ไม่พบหมู่บ้านใด ๆ เลย น้ำก็ไม่มีดื่ม ต้นไม้ก็ไม่มีที่จะให้ร่มเงา มีแต่ทุ่งหญ้าเต็มไปหมด พื้นดินก็เป็นทราย เดินทางยากลำบากเหมือนอยู่กลางทะเลทราย เพราะตลอดทุ่งกว้างนี้ไม่มีน้ำหรือต้นไม้ใหญ่อยู่เลย ในฤดูแล้งแผ่นดินที่ทุ่งนี้กลับแห้งแตกระแหง แห้งแล้งมาก ส่วนในฤดูฝนน้ำจะท่วมทุกปี ใต้พื้นดินลงไปเป็นน้ำเค็ม ไม่สามารถทำการเกษตรได้ จะขอความช่วยเหลือจากใครก็ไม่ได้ เพราะไม่มีใครให้ขอความช่วยเหลือ มีแต่แดดต้นหญ้า และดินปนทราย ถึงเวลาค่ำคืน ทั้งหิว ทั้งเหนื่อยสายตัวแทบขาด ร่างกายขาดน้ำ ทำท่าจะตายเอาทั้งหมดจึงได้แต่นอนร้องไห้ จนมีชาวพื้นเมืองผ่านมาพบเข้า จึงช่วยเหลือหาบหามกันไปรักษาพยาบาลในหมู่บ้าน

ชนเผ่ากุลา

ผู้รอดตายเล่าว่าก่อนที่จะได้รับความช่วยเหลือว่าทำอะไรไม่ได้เลย เอาแต่นอนร้องไห้เพียงอย่างเดียวจนเรียกรู้กันว่าเป็นทุ่งที่แม้แต่พวกกุลาที่ทรหดอดทนต้องนอนร้องไห้ตามชื่อ“ทุ่งกุลาร้องไห้” นั่นแหละ ในอดีตจึงไม่มีใครใส่ใจไยดีกับทุ่งกว้างแห่งนี้นัก ปัจจุบันทุ่งกว้างแห่งนี้ได้รับการพัฒนาโดยรัฐบาลไทยได้ร่วมมือกับรัฐบาลออสเตรเลีย ส่งเจ้าหน้าที่ผู้มีความเชี่ยวชาญในการฟื้นฟูผืนดินที่ไร้ประโยชน์ ให้สามารถทำประโยชน์ได้  ด้วยการทำถนน สร้างอ่างเก็บน้ำที่มีอย่างเหลือเฟือในฤดูฝน ขุดคลองซอยอย่างถี่ยิบ แล้วผันน้ำเข้าสู่คลองซอย ผืนดินที่แห้งแล้งสีน้ำตาลนั้นจึงเปลี่ยนเป็นสีเขียวเข้ม เต็มไปด้วยพืชพรรณธัญญาหารจนทุ่งกุลาร้องไห้นั้นเป็นทุ่งกุลาที่สดใส และมีสำนักงานศูนย์พัฒนาที่ดินทุ่งกุลาร้องไห้กรมพัฒนาที่ดิน ดูแลจนเป็นแหล่งผลิตข้าวหอมมะลิที่สำคัญของประเทศ และกลายเป็นอู่ข้าวอู่น้ำที่มีชื่อเสียงของไทย ยิ่งกว่านั้นยังได้พบแหล่งโบราณคดีที่เกี่ยวเนื่องกันจากบริเวณต่างๆ คือ พบภาชนะดินเผาขนาดใหญ่และเรื่องราวของมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์และโบราณวัตถุในอดีตอีกด้วย

ทะเลสาบที่ฟื้นฟูทุ่งกุลาร้องไห้

ทุ่งนาในทุ่งกุลาร้องไห้

นาข้าวหอมมะลิ

สภาพแห้งแล้งของทุ่งกุลาร้องไห้

ภาพเขียนการทำภาชนะดินเผา

บ้านเรือนของชนเผ่ากุลา

ภาชนะดินเผาที่พบในทุ่งกุลาร้องไห้

แหล่งโบราณคดีทุ่งกุลาร้องไห้

แผนที่-ทุ่งกุลาร้องไห้

เรียนรู้จากโบราณวัตถุ

อบรมมารยาทไทย

Leave a comment